เดือนสิงหาคม
2552
August 2009
....
ดาวฤกษ์ภายนอกบีบอัดเมฆก๊าซกระตุ้นดาวฤกษ์ใหม่
August 27th,
2009
ภาพถ่ายกลุ่มเมฆก๊าซกลางอวกาศที่อุดมไปด้วยดาวฤกษ์อายุน้อยเสนอหลักฐานที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการก่อกำเนิดดาวฤกษ์
นักวิทยาศาสตร์พึ่งรวมภาพถ่ายจากหอสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทรา(Chandra
X-ray Observatory) กับกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์(Spitzer Space
Telescope) เพื่อศึกษาเมฆก๊าซ Cepheus B ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 2,400
ปีแสง ภายในกาแลกซีทางช้างเผือกของเราเอง
เมฆก๊าซประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนเป็นส่วนใหญ่ และฝุ่นอวกาศ
ภาพถ่ายเชิงประกอบซึ่งเกิดจากการรวมข้อมูลรังสีเอกซ์โดย กล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์จันทรา
กับข้อมูลรังสีอินฟราเรดจากกล้องโทรทรรศน์สปิตเซอร์ แสดงเมฆโมเลกุล Cepheus B
Credit: X-ray (NASA/CXC/PSU/K. Getman et al.); IR (NASA/JPL-Caltech/CfA/J. Wang et al.)
ภายในมีดาวฤกษ์อายุน้อยสุกสว่างซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของดาวฤกษ์มวลมากที่อยู่ภายนอกกลุ่มเมฆ
ดาวฤกษ์ดวงดังกล่าวคือ HD 217086
แผ่รังสีอันเข้มข้นพุ่งเข้าหาบริเวณข้างเคียง ขณะที่รังสีพุ่งเข้าใส่
จะทำให้ก๊าซที่บริเวณด้านนอกของกลุ่มเมฆร้อนและระเหยออกไป
อีกทั้งยังส่งคลื่นมาผลักดันกลุ่มเมฆให้อัดแน่นมันมากยิ่งขึ้นจนทำให้เกิดดาวฤกษ์จากการเพิ่มความหนาแน่นของก๊าซภายในนั่นเอง
จากผลการสังเกตการณ์ช่วยให้นักดาราศาสตร์ประมาณอายุของดาวฤกษ์อายุน้อยๆ
หลายดวง และสนับสนุนทฤษฎีการก่อตัวของดาวฤกษ์ ก๊าซชั้นในของ Cepheus B
เป็นบริเวณที่นักวิทยาศาสตร์พบดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ที่มีอายุประมาณ 1 ล้านปี
และประมาณร้อยละ 70 หรือ 80 ของดาวฤกษ์ดังกล่าวมี
“วงแหวนมวลสารก่อนเป็นดาวเคราะห์” (protoplanetary disk)
ซึ่งคาดว่าจะเป็นวิธีการสร้างดาวเคราะห์
รวมทั้งเป็นสัญญาณบอกว่าดาวฤกษ์ดวงใดๆ เป็นดาวฤกษ์อายุน้อย
ภาพถ่ายเชิงประกอบซึ่งเกิดจากการรวมข้อมูลรังสีเอกซ์โดย กล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์จันทรา
(Credit: X-ray (NASA/CXC/PSU/K. Getman et al.)
ภาพจำลองแสดงวงแหวนมวลสารรอบดาวฤกษ์ที่พึ่งถือกำเนิด วงแหวนนี้จะวิวัฒนาการไปเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด Credit: ESO.
ในก๊าซชั้นกลางและส่วนนอกของกลุ่มเมฆก๊าซ
ดาวฤกษ์จะมีอายุมากขึ้นโดยมีอายุในช่วง 2 ล้าน ถึง 5 ล้าน ปี
และไม่ค่อยพบวงแหวนมวลสารก่อนเป็นดาวเคราะห์
ถ้าดาวฤกษ์มวลมากภายนอก
Cepheus B
เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของดาวฤกษ์ภายในกลุ่มเมฆก๊าซจริง
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าดาวฤกษ์ที่อายุมากขึ้นจะโคจรออกมาจากศูนย์กลางกลุ่มเมฆ
ดาวฤกษ์เกิดใหม่ที่เกิดจากดาวฤกษ์ร้อนแรงด้านนอกบีบอัดก๊าซจะอยู่ภายในศูนย์กลาง
มีเพียงดาวฤกษ์อายุมากอยู่บริเวณด้านนอก
ที่ซึ่งคลื่นความดันผ่านไปนานแล้ว
และรังสีของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่บีบอัดดาวฤกษ์ที่พึ่งถือกำเนิด
กลไกกระตุ้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของคำอธิบายว่าดาวฤกษ์กำเนิดอย่างไร
ในสถานการณ์อื่นๆ
ดาวฤกษ์จะเกิดขึ้นเมื่อก๊าซอุณหภูมิต่ำและควบแน่นภายใต้แรงโน้มถ่วงของตัวกลุ่มก๊าซเอง
Source: Space.com, Big Squeeze Creates New Stars in Cosmic Cloud
ปริศนาอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโคโรนา
August 24th,
2009
ปริศนาประการหนึ่งเกี่ยวกับอุณหภูมิในโคโรนา(corona)
ซึ่งเป็นชั้นบรรยากาศชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ซึ่งร้อนผิดปกติ
เมื่อชั้นบรรยากาศบริเวณใกล้ดวงอาทิตย์อย่างโฟโตสเฟียร์(photosphere)
มีอุณหภูมิประมาณ 5,500 เคลวิน (Kelvin) ส่วนโครโมสเฟียร์
(chromospheres) มีอุณหภูมิ 7,000 – 15,000 เคลวิน
แต่ทว่าอุณหภูมิในโคโรนากลับสูงถึงหลายล้านเคลวินเลยทีเดียว
แผนภูมิแสดงอุณหภูมิ และความหนาแน่นของก๊าซที่ระดับความสูงจากส่วนบนของโฟโตสเฟียร์ดวงอาทิตย์
credit: http://history.nasa.gov/SP-402/p2.htm
ดังนั้นจะต้องมีกลไกทางกายภาพบางกลไกที่ให้ความร้อนแก่โคโรนา
ทว่ากลไกดังกล่าวยังคงเป็นปริศนา
อย่างไรก็ตามมีสองทฤษฎีที่กำลังขันแข่งกันอยู่ ได้แก่
1)
ทฤษฎีการให้ความร้อนด้วยคลื่น(wave heating) ซึ่งถูกนำเสนอโดย Evry
Schatzmann เมื่อปี ค.ศ. 1949
ว่ามีคลื่นพาพลังงานผ่านโครโมสเฟียร์มายังโคโรนา [1]
ซึ่งคลื่นดังกล่าวอาจเป็นคลื่นเสียงเชิงแม่เหล็ก (magneto-acoustic wave)
ที่เดินทางในสนามแม่เหล็ก และคลื่นอัลเฟน (Alfven wave)
ที่เดินทางในก๊าซร้อนมีประจุหรือพลาสมา(plasma)
คลื่นทั้งสองจะเดินทางจากโฟโตสเฟียร์
ผ่านโครโมสเฟียร์จนถึงโคโรนาแล้วกลายเป็น “คลื่นกระแทก (shock wave)”
ที่ให้พลังงานออกมาในรูปความร้อน[2][3]
อย่างไรก็ดีปัญหาของทฤษฎีนี้คือการตรวจวัดจากอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันอย่าง
หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ SOHO ก็ยังไม่สามารถค้นหา “คลื่น”
ที่คาดว่าจะเป็นตัวการพาพลังงานไปให้โคโรนา
เนื่องจากแม้จะค้นพบคลื่นบางชนิด เช่นคลื่น magneto-acoustic ความถี่ 1
มิลลิเฮิรตซ์ ที่พาพลังงานไปให้โคโรนาเพียงแค่ร้อยละ 10
ของปริมาณพลังงานที่จำเป็นในการทำให้โคโรนาร้อน คลื่น Alfven
จากการลุกจ้า(solar flare) ก็ไม่ได้เกิดอย่างต่อเนื่อง
จนไม่สามารถอธิบายความร้อนของโคโรนาที่ค่อนข้างสม่ำเสมอได้ [4]
แสดงชั้นบรรยากาศโคโรนาของดวงอาทิตย์(ซ้าย)
และบ่วงแม่เหล็กจากผิวดวงอาทิตย์(ขวา) Credit: IYA2009, FETTU, SOHO/EIT
consortium of NASA and ESA, Trace Team of the Stanford-Lockheed
Institute for Space Research, NASA.
2)
ทฤษฎีการลุกจ้าระดับหนึ่งในพันล้าน (nanoflares)
หรือการเชื่อมต่อใหม่ของสนามแม่เหล็ก (magnetic reconnection)
การเชื่อมต่อใหม่ของสนามแม่เหล็กเกิดจากกระแสพลาสมาที่บีบให้เส้นสนามแม่เหล็กที่ทิศทางสวนกันขาดและต่อกันใหม่
การเชื่อมและต่อติดใหม่นี้ทำให้พลังงานที่เก็บไว้ในเส้นสนามแม่เหล็กถูกปลดปล่อยออกมาในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เช่นแสงในย่านที่ตามนุษย์มองเห็น หรือแม้แต่คลื่นวิทยุ [5]
โดยทั่วไปการเชื่อมต่อใหม่ของสนามแม่เหล็กเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการลุกจ้าของดวงอาทิตย์(solar
flare) ที่พบได้ในบริเวณใกล้ๆ จุดมืด(sunspot) ของดวงอาทิตย์
อย่างไรก็ดี nanoflare
เป็นการลุกจ้าที่เกิดขนาดเล็กจำนวนมากภายในแผ่นกระแส(current sheets
ขนาดเล็ก)
โดยเกิดการประทุชั่ววูปที่มีขนาดเล็กแต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังงานและความร้อนออกมา
การเชื่อมต่อใหม่ของเส้นสนามแม่เหล็กทำให้เกิดการลุกจ้าของดวงอาทิตย์(solar flare) บริเวณ magnetic reconnection
credits: Proto solar nebula: Spitzer Space Telescope
เป็นเวลานานกว่า
50 ปี ไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายปริศนาอุณหภูมิสูงยวดยิ่งของโคโรนาได้
จึงมีความคิดว่าบางทีการรวมทฤษฎีทั้งสองอาจอธิบายปรากฏการณ์ปริศนานี้อย่างไรก็ตามรายละเอียดของทฤษฎียังไม่สมบูรณ์นัก[4]
“บ่วงโคโรนา
(corona loop)” เป็นโครงสร้างมัดสนามแม่เหล็กเกลียวที่กักพลาสมาไว้ภายใน
แล้วโค้งขึ้นไปจากโฟโตสเฟียร์ โครโมสเฟียร์ จนถึงโคโรนา
พลาสมาในโครโมสเฟียร์จะถูกกักไว้ภายในบ่วงโคโรนาและถูกพาขึ้นไปปล่อยไว้ในในบรรยากาศชั้นโคโรนา
ก๊าซมีประจุหรือ
พลาสมาอุณหภูมิสูงที่พบในโคโรนาจึงอาจจะมาจากบ่วงโคโรนานี้เอง [6]
ซึ่งอุณหภูมิของก๊าซภายในบ่วงโคโรนามีอุณหภูมิมากกว่า 1 ล้านเคลวิน ขึ้นไป
ทว่ากลไกการให้ความร้อนของบ่วงโคโรนาและความหนาแน่นของก๊าซยังคงเป็นปริศนา
นักวิทยาศาสตร์สนใจว่าบ่วงโคโรนาได้รับความร้อนแบบใดซึ่งจะช่วยในการตอบคำถามของอุณหภูมิในโคโรนาด้วย
มีแนวคิดสองแบบคือ “การให้ความร้อนแบบสม่ำเสมอ (steady heating)”
หรือเป็น “การให้ความร้อนแบบเป็นห้วง (impulsive heating)”
ผลการสังเกตการณ์บ่วงโคโรนาที่สั้นและอุณหภูมิสูงก็สอดคล้องกับการให้ความร้อนแบบสม่ำเสมอ
ในขณะที่การสังเกตการณ์ในช่วงอุณหภูมิต่ำกว่า
ของบ่วงแม่เหล็กที่ยาวกว่ากลับสอดคล้องกับการให้ความร้อนแบบห้วง [7]
ทฤษฎีการให้ความร้อนแบบสม่ำเสมออธิบายว่า
“บ่วงโคโรนา
ที่มีความยาวและอุณหภูมิค่าหนึ่งจะมีความหนาแน่นที่เฉพาะเจาะจง
อย่างไรก็ตาม
การสังเกตการณ์พบว่าความหนาแน่นของก๊าซมากกว่าค่าที่ทฤษฎีข้างต้นทำนายได้[8]
จึงเกิดแนวคิดใหม่ที่อธิบายว่า nanoflares จำนวนมากให้ความร้อนแก่
“บ่วงโคโรนา” และสามารถอธิบายความหนาแน่นที่ตรวจพบได้
แต่ทว่ายังไม่มีหลักฐานชัดเจน
ยานอวกาศฮิโนเดะ (Hinode) หรือ Solar-B ขององค์การอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) credit: JAXA
ล่าสุดผลการสังเกตการณ์ด้วย
X-Ray Telescope (XRT) และ Extreme-ultraviolet Imaging Spectrometer
(EIS) ซึ่งติดตั้งบนดาวเทียม “ฮิโนเดะ”(Hinode) ขององค์การอวกาศญี่ปุ่น
(Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) เผยให้เห็นพลาสมาความร้อนสูง
(ซึ่งร้อนกว่า 5 ล้านเคลวิน) ที่กระจายในบริเวณก่อกัมมันต์ดวงอาทิตย(solar
active regions) หรือบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กกระจุกตัวอยู่ใกล้กันมากๆ
ในขณะที่ XRT วัดรังสีเอกซ์ที่ออกมาจากพลาสมาอุณหภูมิ 10 ล้านเคลวิน
การให้ความร้อนแก่โคโรนาเป็นกระบวนการเชิงพลวัติ
ความเข้มของรังสีเอกซ์และอัลตราไวโอเลตที่พบในโคโรนาเกี่ยวข้องกับความหนาแน่นของพลาสมาภายในโคโรนา
หากความหนาแน่นพลาสมาต่ำ รังสีก็จะมีความเข้มหรือความสว่างต่ำ
หากความหนาแน่นพลาสมาสูงก็จะมีความสว่างสูง
และโคโรนามีความสว่างสูงสุดที่อุณหภูมิประมาณ 1 ล้านองศาเคลวิน
บริเวณก่อกัมมันต์บนผิวดวงอาทิตย์สองแห่ง โดยกล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์ซึ่งติดตั้งบนยานอวกาศฮิโนเดะ
Credit: NASA
James
Klimchuk, นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากห้องปฏิบัติการณ์ฟิสิกส์สุริยะ (Solar
Physics Laboratory) ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ด (Goddard Space Flight
Center) ของ NASA ณ เมือง Greenbelt มลรัฐแมรีแลนด์
สร้างแบบจำลองเชิงทฤษฎีที่อธิบายวิวัฒนาการของพลาสมาในบ่วงโคโรนาและการเพิ่มอุณหภูมิ
[8]
Klimchuk พบว่าเมื่อ nanoflare ปลดปล่อยพลังงานอย่างฉับพลัน
พลาสมาอุณหภูมิและความหนาแน่นต่ำ จะกลายเป็นพลาสมาร้อนที่อุณหภูมิประมาณ
10 ล้านองศาเคลวิน ภายในเวลาไม่นาน [9] ความหนาแน่นของก๊าซยังคงต่ำ
อย่างไรก็ตาม แสงสว่างของก๊าซก็ถือว่าริบหรี่ด้วย
ความร้อนไหลภายในบ่วงสนามแม่เหล็กจากด้านบนลงมายังด้านล่างซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า
ทำให้พลาสมาที่บริเวณฐานบ่วงสนามแม่เหล็กร้อนขึ้น
เนื่องจากบริเวณฐานบ่วงแม่เหล็กมีความหนาแน่นมากกว่า
ทำให้อุณหภูมิในบริเวณนี้สูงถึง 1 ล้านองศาเคลวิน
จากนั้นพลาสมาที่หนาแน่นเหล่านี้จึงขยายตัวขึ้นไป
จึงเกิดเป็นบ่วงโคโรนาที่มีอุณหภูมิสะสมประมาณ 5 – 10 ล้านองศาเคลวิน
สำหรับบ่วงที่ไม่สว่าง และ 1 ล้านองศาเคลวินสำหรับบ่วงที่สว่างกว่า [9]
ภาพอุณหภูมีสีแสดงบริเวณก่อกัมมันต์บนผิวดวงอาทิตย์
AR10923 บริเวณใกล้ๆ ศูนย์กลางดวงปรากฏ
สีน้ำเงินแสดงพลาสมาอุณหภูมิประมาณ 10 ล้านเคลวิน Credit: Reale, et
al. (2009)
ผลการสังเกตการณ์จากดาวเทียมฮิโนเดะซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อ
22 กันยายน 2549 และการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า nanoflare
เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์และสามารถเกิดได้ทุกๆ ที่ nanoflare
และมีส่วนสำคัญในการผันแปรของรังสีในย่านรังสีเอกซ์และอัลตราไวโอเลต
เมื่อรังสีเอกซ์และอัลตราไวโอเลตเดินทางมาถึงชั้นบรรยากาศส่วนบนของโลก
ก๊าซในชั้นบรรยากาศจะร้อนขึ้นและขยายตัว
ผลการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ดาวเทียมและขยะอวกาศเคลื่อนที่ช้าลง
และเกิดการดึงที่สามารถเปลี่ยนวงโคจรของดาวเทียม
จนอาจการชนกันของดาวเทียมได้
นอกจากนี้รังสีเอกซ์และอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ยังก่อกวนสัญญาณวิทยุ
ระบบสื่อสาร และระบบนำร่องอีกด้วย
ที่มา
[1] Evry Schatzman, The heating of the solar corona and
chromosphere, Annales d'Astrophysique 12 (1949), pp. 203–218.
[2] Alfvén, Hannes, "Magneto hydrodynamic waves, and the heating of the solar corona". MNRAS 107(1947): 211–219.
[3]Heyvaerts and Priest, 1993, Astron. Astrophys. 117, 220
[4] Wave heating theory, http://en.wikipedia.org/wiki/Corona
[5]Magnetic Reconnection, http://en.wikipedia.org/wiki/Magnetic_reconnection
[6] coronal loop, http://en.wikipedia.org/wiki/Coronal_loop
[7]
Winebarger, Amy R.; Mikic, Z., Can Steady Heating Proportional to
Magnetic Field Strength Solve the Coronal Heating Paradox?, American
Astronomical Society Meeting 210, #91.23; Bulletin of the American
Astronomical Society, Vol. 38, p.208
[8] Tiny Flares Responsible for
Outsized Heat of Sun's Atmosphere,
http://www.nasa.gov/topics/solarsystem/features/nanoflares.html
[9] James A. Klimchuk, Coronal Loop Models and Those Annoying Observations!, arXiv:0904.1391v1 [astro-ph.SR]
พบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะกับชั้นบรรยากาศ
August 13th,
2009
หลังจากถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่
6 มีนาคม 2552 กล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์(Kepler)
จากฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ณ แหลมคานาเวรัล(Canaveral Cape)
ก็ได้เริ่มต้นภารกิจไล่ล่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ(exoplanet) [1]
กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์
ถูกตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์นาม โยฮันส์ เคปเลอร์ (Johannes Kepler)
ซึ่งเกิดเมื่อ ค.ศ. 1571
ในจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมัน(ในช่วงเวลานั้น)
เคปเลอร์เกิดในยุคเดียวกับกาลิเลโอ อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของไทโค บราห์
เคปเลอร์เป็นผู้มีส่วนวางรากฐานดาราศาสตร์สมัยใหม่
ด้วยการศึกษาการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุแล้วสร้างกฎสามข้อเพื่ออธิบายการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุรอบดวงอาทิตย์
ก่อนที่จะได้การพิสูจน์ด้วยกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันในเวลาต่อมา [2]
ภาพจำลองกล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ในวงโคจรและเล็งไปยังบริเวณกลุ่มดาวหงส์และกลุ่มดาวพิณเพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะในแถบดังกล่าว
credit: www.nasa.gov
กล้องโทรทรรศน์เคปเลอร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อสำรวจโครงสร้างและความหลากหลายของระบบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะโดยสำรวจระบบดาวจำนวนมากเพื่อ
คำนวณอัตราของดาวเคราะห์หินคล้ายโลกและดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในเขตอยู่อาศัยได้(habitable
zone) ของดาวฤกษ์ชนิดต่างๆ
ศึกษาสถิติของขนาดและรูปร่างวงโคจรของดาวเคราะห์
ประมาณจำนวนดาวเคราะห์ภายในระบบดาวฤกษ์หลายดวง
คำนวณความหลากหลายของขนาดวงโคจร การสะท้อนแสงของดาวเคราะห์ ขนาด มวล
และความหนาแน่นของดาวเคราะห์ยักษ์คาบสั้น
แยกแยะสมาชิกเพิ่มเติมของแต่ละระบบดาวเคราะห์โดยอาศัยเทคนิคอื่นๆ
นอกเหนือจาก “การบังดาวฤกษ์โดยดาวเคราะห์”
และศึกษาสมบัติของดาวฤกษ์ที่มีระบบดาวเคราะห์
นอกจากนี้ปฏิบัติการณ์เคปเลอร์ยังสนับสนุนวัตถุประสงค์ของปฏิบัติการณ์
Space Interferometry Mission (SIM) ขององค์การ NASA และ
Terrestrial
Planet Finder (TPF)
โดยศึกษาสมบัติทั่วไปของดาวฤกษ์ที่มีดาวเคราะห์บริวารเพื่อค้นหาดาวเคราะห์อื่นๆ
อีกในอนาคต เพื่อพิจารณาขอบเขตอวกาศที่จำเป็นต่อการค้นหาดาวเคราะห์
และช่วยให้โครงการ SIM มุ่งเป้าไปยังระบบดาวที่มีดาวเคราะห์คล้ายโลก
[3 ]
หลังจากส่งขึ้นสู่อวกาศแล้ว
ได้ทดสอบถ่ายภาพแรก (first light) เป็นบริเวณน่านฟ้ากลุ่มดาว Cygnus-Lyra
ของกาแลกซีทางช้างเผือก ประกอบด้วย NGC 6791 และดาวฤกษ์ Tres-1
ที่มีดาวเคราะห์คล้ายดาวพฤหัสบดีเป็นบริวาร[4]
เปรียบเทียบข้อมูลจากการวัดความสว่างของ
HAT-P-7b ระหว่างหอสังเกตการณ์บนพื้นโลกกับกล้องโทรทรรศน์
Kepler Image credit: NASA
และล่าสุดจากการทดสอบเก็บข้อมูลเป็นเวลาสั้นๆ
เพียงแค่ 10 วัน ก่อนที่จะเริ่มภารกิจอย่างเป็นทางการ
นักดาราศาสตร์ประจำปฏิบัติการเคปเลอร์พบว่าข้อมูลทดสอบจากกล้องโทรทรรศน์ประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาตัวนี้
แม้ว่าขั้นตอนการปรับแต่งค่าการวัดพื้นฐานและซอฟตแวร์วิเคราะห์ข้อมูลจะยังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม
แต่ข้อมูลที่ได้สามารถแสดงการมีอยู่ของชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์(giant
gas planet) ที่รู้จักกันดี และกำลังจะตีพิมพ์รายงานการค้นพบในวารสาร
Science ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2552 [5]
Jon Morse
ผู้อำนวยการแผนกฟิสิกส์ดาราศาสตร์(Astrophysics Division)
ของสำนักงานผู้อำนวยการปฏิบัติการวิทยาศาสตร์(Science Mission
Directorate) ที่สำนักงานใหญ่องค์การนาซา นครวอชิงตันดีซี กล่าวว่า
“ในฐานะที่เป็นปฏิบัติการไล่ล่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะแรกของนาซา
เคปเลอร์ได้เปิดทางเข้าอันน่าเร้าใจต่อฉากไล่ล่าดาวเคราะห์”
“การตรวจพบชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์เพียงแค่ 10 วัน หลังจากเริ่มต้นชิมลาง
การไล่ล่าดาวเคราะห์ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
คณะทำงานโครงการเคปเลอร์กล่าวว่าข้อมูลใหม่นี้บ่งบอกว่าปฏิบัติการนี้มีศักยภาพพอที่จะค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลก(Earth-like
planet) หากมันมีอยู่จริง
กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์จะใช้เวลานับจากนี้สามปีครึ่งเพื่อค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่มีขนาดเล็กพอๆ
กับโลก
รวมทั้งดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในวงโคจรห่างจากดาวฤกษ์พอดีที่น้ำบนผิวดาวเคราะห์จะอยู่ในสถานะของเหลว
ซึ่งจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดและอยู่อาศัยได้
ดาวเคราะห์ที่กล้องเคปเลอร์เก็บข้อมูลมาคือ
HAT-P-7b ซึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ HAT-P-7 ที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 1,000
ปีแสง ดาวเคราะห์โคจรรอบดาวฤกษ์หลักครบรอบภายในเวลาเพียง 2.2 วัน
และอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ถึง 1/26 ของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์
ด้วยวงโคจรที่ใกล้ดาวฤกษ์จนผิวดาวมีอุณหภูมิสูงและมวลของดาวเคราะห์ 1.8
เท่าของดาวพฤหัสบดี ทำให้มันถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ดาวพฤหัสบดีร้อน (hot
Jupiter)” ดาวฤกษ์ HAT-P-7 มีมวลประมาณ 1.47 เท่าของมวลดวงอาทิตย์
และมีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 6350 เคลวิน สำหรับดาวเคราะห์ HAT-P-7b
มีมวล ใ [5][6]
วิธีการค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของกล้องเคปเลอร์คือ
วิถีการวัดความสว่างของเทหวัตถุ(photometry)
โดยวัดความสว่างของแสงดาวที่ตกกระทบอุปกรณ์รับภาพ CCD (charged couple
device) ของกล้อง [7]
การวัดความสว่างของดาวฤกษ์เป้าหมาย
แล้วสังเกตการลดลงของแสงดาวฤกษ์ที่เกิดขึ้นเป็นคาบๆ
ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่ดาวเคราะห์โคจรมาบังระหว่างโลกกับดาวฤกษ์เป้าหมาย
วิธีการนี้เรียกว่า “Transit Method”
แม้ว่าจะเคยตรวจวัดแสงจาก HAT-P-7
มาแล้ว
แต่ครั้งนี้ให้ข้อมูลจากเคปเลอร์ให้รายละเอียดสูงกว่า
ด้วยการแสดงการเพิ่มและลดลงของแสงดาวในช่วงที่ดาวเคราะห์ผ่านหน้าอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนเฟส(คล้ายกับการเปลี่ยนเฟสส่องสว่างของดวงจันทร์)
อย่างต่อเนื่องและราบเรียบ
แผนภูมิการกระจายตัวของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่ค้นพบแล้วตามระยะห่างจากดาวฤกษ์(Orbital
Distance) และ มวล(Mass) Image credit: NASA
แสงจากระบบดาวโดยรวมเกิดจากการรวมผลของแสงที่เปล่งออกมาจากดาวฤกษ์และแสงดาวฤกษ์ที่ดาวเคราะห์สะท้อนออกมา
นอกจากการลดลงของแสงในช่วงที่ดาวเคราะห์ผ่านหน้าดาวฤกษ์แล้ว
ยังมีการลดลงในระดับเล็กน้อยเมื่อดาวเคราะห์อ้อมไปอยู่ด้านหลังดาวฤกษ์เนื่องจากแสงไม่มีแสงสะท้อนจากดาวเคราะห์นั่นเอง
เรียกว่าช่วง occultation
ข้อมูลใหม่จากเคปเลอร์สามารถใช้ในการศึกษา
“ดาวพฤหัสบดีร้อน” ในรายละเอียดที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความลึกของการลดลงของแสง รูปร่าง
และขนาดของกราฟแสงแสดงให้เห็นว่าดาวเคราะห์มีชั้นบรรยากาศ
โดยด้านกลางวันมีอุณหภูมิถึง 2377 องศาเซลเซียส
ความร้อนจำนวนเล็นน้อยถูกพาไปยังด้านกลางคืน
เมื่อเปรียบเทียบความสว่างในช่วง occultation กับ transit
แสดงให้เห็นว่ามีวงโคจรเป็นวงกลม
ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิจัยและทฤษฎี
การค้นพบใหม่นี้ยืนยันว่ากล้องเคปเลอร์มีความแม่นยำมากพอสำหรับค้นหาดาวเคราะห์ขนาดพอๆ
กับโลก การผันแปรความสว่างเพียง 1.5
เท่าของสิ่งที่คาดว่าจะพอได้เมื่อดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงกับโลกผ่านหน้าดาวฤกษ์
แม้ว่ากล้องเคปเลอร์สามารถให้ข้อมูลได้ละเอียดยิ่งกว่านี้เมื่อโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์
อ้างอิง
[1] “Kepler Mission Rockets to Space in Search of
Other Earths”,
http://science.nasa.gov/headlines/y2009/06mar_keplerlaunch.htm?list1115242
[2] “Kepler Mission > Yohannes Kepler”, http://kepler.nasa.gov/johannes/index.html
[3] “Kepler Mission > Overview”, http://kepler.nasa.gov/about/
[4]
“NASA's Kepler Captures First Views of Planet-Hunting Territory”,
http://www.nasa.gov/centers/ames/news/releases/2009/09-43AR.html
[5]
“NASA's Kepler Spies Changing Phases on a Distant World”,
http://www.nasa.gov/mission_pages/kepler/news/kepler-discovery.html
[6] Note For Star HAT-P-7, http://exoplanet.eu/star.php?st=HAT-P-7
[7] http://kepler.nasa.gov/sci/design/spacecraft.html
แปลและเรียบเรียงโดย วัชราวุฒิ
กฤตินธรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
----------------------------------------------------------