ธันวาคม 2554

DECEMBER 2011

December 7th, 2011

Adapt from www.news.yahoo.com: New views of giant asteroid Vesta revealed
หลังจากที่ได้เคลื่อนที่รอบๆ เวสต้า (Vesta) ซึ่งเป็นวัตถุที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองที่โคจรอยู่ในแถบวงแหวนดาวเคราะห์น้อยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยานอวกาศ Dawn ก็ได้ส่งรูปถ่ายต่างๆ ของเวสต้ามายังโลก
ภาพถ่ายดาวเคราะห์น้อยเวสต้า
Credit: http://news.yahoo.com/views-giant-asteroid-vesta-revealed-015325226.html
ผิวของเวสต้า ไม่เหมือนดาวเคราะห์น้อยอื่นๆ เวสต้ามีหลักฐานว่ามันมีแร่ธาตุต่างๆ
“เวสต้าไม่เหมือนดาวเคราะห์น้อยอื่นๆ” วิชนู เรดดี้ นักวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสุริยะใน Max Planck กล่าว ซึ่งการค้นพบใหม่นี้ จะถูกเสนอในที่ประชุม American Geophysical Union ในซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่เหมือนมันฝรั่ง แต่เวสต้าเหมือนอโควาโดร และมีแกนกลางเป็นเหล็ก
ดาวเคราะห์น้อยเป็นซากที่เหลือจากการกำเนิดระบบสุริยะเมื่อ 4,500 ล้านปีมาแล้ว การศึกษาดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้จะช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยะในช่วงเริ่มต้นของการเกิดระบบสุริยะ
เดวิด วิลเลี่ยมจากมหาวิทยาลัยอะริโซน่าได้กล่าวว่า เวสต้าเป็นวัตถุเปลี่ยนผ่าน (transition body) ระหว่างดาวเคราะห์ที่มีหินเป็นองค์ประกอบ กับดาวเหคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส
ก่อนที่ Dawn จะเดินทางไปถึงเวสต้านั้น นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่า จะมีภูเขาไฟบนเวสต้า แต่ทว่านักดาราศาสตร์ไม่พบหลักฐานว่ามีลาวาไหลอยู่บนผิวแต่อย่างใด
วิลเลี่ยมกล่าวว่า เป็นไปได้สสารจากภูเขาไฟจะถูกฝังอยู่ด้านใต้ ดังนั้นนักดาราศาสตร์จะทำการค้นหาต่อไป
หลังจากออกจาก เวสต้าแล้ว Dawn จะเดินทางไปยังเซเรส (Ceres) ดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่กว่า ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเดินทางไปถึงในปีค.ศ. 2015

 

December 14th, 2011

Adapt from http://newsfeed.time.com: NASA Finds Planet in ‘Habitable Zone’ That Could Sustain Life
ปัจจัยใดที่วัดความมีชีวิต? ก่อนจะมีสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราบนโลก เรากำลังพูดถึงการคำนวณทางกายภาพต่างๆ ที่อาจจะทำให้มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ บนดาวเคราะห์อื่น แต่พวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าดาวเคราะห์ที่จะมีสิ่งชีวิตได้นั้น ต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบ โดยรวมปัจจัยต่างๆ ทั้งหมด เราอ้างอิงจากโลกของเราซึ่งมีสิ่งมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือจะต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบอย่างน้อย 60% และน้ำเองก็เป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดที่พบบนโลก ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้การค้นพบดาวเคราะห์ Kepler-22b น่าตื่นเต้น
ภาพจำลองของดาวเคราะห์ Kepler-22b
Credit: http://timenewsfeed.files.wordpress.com/2011/12/kepler22b.png?w=600&h=400&crop=1

 

ภารกิจ Kepler ของนาซ่า (Nasa’s Kepler Mission) ได้ค้บพบดาวเคราะห์ โดยนาซ่าได้ตั้งชื่อว่า Kepler-22b ซึ่งดาวเคราะห์ Kepler-22b นี้อยู่ใน “Habitable Zone” ในกาแลกซีที่อยู่ห่างไกล นาซ่ากล่าวว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงแรก (ไม่นับโลกของเรา) ที่อาจจะมีน้ำซึ่งอยู่ในสถานะของเหลวบนผิวของมัน
แม้จะอยู่ห่างจากโลกถึง 600 ปีแสง แต่ Kepler-22b ก็เป็นความยินดีของนักวิทยาศาสตร์ที่อาจจะพบสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่ใช่โลก “นี่เป็นก้าวสำคัญบนหนทางของการหาฝาแฝดของโลก” ดักลาส ฮูดกิน นักวิทยาศาสตร์ของภารกิจ Kepler กล่าว
 
ภาพแสดงดาวเคราะห์ที่อยู่ในแถบ Habitable Zone ของระบบสุริยะ และของ Kepler-22b
Credit: http://timenewsfeed.files.wordpress.com/2011/12/habitable.png?w=600&h=400
ดาวเคราะห์ที่มีศักยภาพพอที่อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้นี้ โคจรครบรอบดาวฤกษ์ (ที่เสมือนกับดวงอาทิตย์ของเรา) ใช้เวลา 290 วัน ซึ่งก็คล้ายกับโลกมาก แม้ว่าโลกของเราจะมีขนาดเล็กกว่าและอุณหภูมิต่ำกว่านิดหน่อย Kepler-22b มีรัศมีเป็น 2.4 เท่าของรัศมีโลก ซึ่งจัดเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุดที่อยู่ใน Habitable Zone ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ตำแหน่งที่มันอยู่ก็เป็นตำแหน่งที่ทำให้มีอุณหภูมิและสภาพภูมิอากาศเหมาะสมที่จะมีน้ำอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เพียงค้นพบการมีอยู่ของ Kepler-22b เท่านั้น แต่ยังไม่รู้องค์ประกอบของ Kepler-22b และเพียงพบลักษณะทางกายภาพต่างๆ ว่ามันอาจจะมีน้ำ รวมถึงอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่นาซ่าต้องทำการศึกษาและค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป

ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kepler-22b ซึ่งศ.ดร.เดวิด รูฟโฟโล ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับคมชัดลึก โดยสามารถเข้าไปรับชมได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=pQpu6KSRhr8&fb_source=message

 

December 21st, 2011

Adapt from www.news.yahoo.com: New Stratolaunch plane will take people into Earth’s orbit
ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ พอล อัลลึน (Paul Allen) กำลังสร้างทีมร่วมกับผู้ริเริ่มการบินในอากาศและท่องเที่ยวไปในอวกาศ เบิร์ท รูทาน (Burt Rutan) เพื่อสร้างเครื่องจักรยักษ์ที่ประกอบด้วยส่วนของเครื่องบินและส่วนของยานอวกาศ บานพาหนะใหม่นี้จะสามารถขนส่งคนและสินค้าตามวงโคจรของโลก โดยมีแผนจะให้บริการในปีค.ศ. 2016
 
ภาพจำลอง Stratolaunch
Credit: http://news.yahoo.com/blogs/sideshow/stratolaunch-plane-people-earth-orbit-203001086.html
Stratolaunch จะแตกต่างจากจรวดทั่วไป โดยมันไม่ต้องใช้แท่นปล่อยในการส่งมันไปสู่อวกาศ แต่จะใช้ปีกในส่วนของเครื่องบินแทน จากนั้นส่วนของจรวดจึงถูกปล่อยเพื่อให้มันพุ่งไปสู่อวกาศ
ท่านสามารถรับชมการจำลองโดยคอมพิวเตอร์สำหรับ Stratolaunch ได้ที่นี่
http://www.youtube.com/watch?v=sh29Pm1Rrc0&feature=player_embedded
Stratolaunch ใช้เครื่องยนต์ 747 จำนวน 6 ตัว ซึ่งยานใหม่นี้มีประสิทธิภาพสูงกว่ากระสวยอวกาศทั่วไป เนื่องจากมันไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงในการผลักให้มันขึ้นจากพื้นดิน ยานใหม่นี้มีขนาดใหญ่ โดยมีขนาดวัดจากปีกถึงปีก 385 ฟุต (ใหญ่กว่าสนามฟุตบอล) และหนัก 1.2 ล้านปอนด์
Stratolaunch ยังไม่ถูกจำกัดด้วยปัจจัยที่กระสวยอวกาศถูกจำกัดในการส่งมันสู่อวกาศ
อัลลึนและรูแทนกำลังแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ในการส่งคนและสินค้าไปสู่สถานีอวกาศนานาชาติ หลังจากที่องค์การนาซ่าได้ยกเลิกโครงการนี้ โดยทั้งสองคนยังได้ร่วมมือกับ เอลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้ง PayPal และ Tesla ซึ่งได้ให้ทุนสนับสนุนในส่วนของยานอวกาศและส่วนประกอบที่ใช้ในการส่งยานขึ้นสู่อวกาศ
อัลลึน ไม่ใช่คนแปลกหน้าในวงการสำรวจอวกาศ เขาเป็นผู้ชนะรางวัล Ansari X Prize ในปี 2004 ซึ่งเขาเป็นผู้สนับสนุนยานที่สามารถไปสู่อวกาศได้ แม้ไม่ได้ไปวงโคจร ซึ่งหากทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผน โครงการ Stratolaunch นี้จะรวมไปถึงการขนส่งดาวเทียม ในขณะที่ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในอวกาศด้วยเช่นกัน
 

December 28th, 2011

Adapt from www.spaceweather.com: COMET LOVEJOY SURVIVES
เรื่องเหลือเชื่อ เมื่อดาวหาง Lovejoy ได้เคลื่อนที่เข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ โดยมีระยะห่างเพียง 140,000 กิโลเมตรจากผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งนักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่ามันจะถูกดวงอาทิตย์เผาไหม้จนหายไป แต่ทว่า SDO สามารถถ่ายภาพที่มันอยู่ในจุดที่ใกล้กับดวงอาทิตย์ที่สุดเอาไว้ได้ ตามลิงค์นี้
http://spaceweather.com/images2011/16dec11/ipad/lovejoyemerges.m4v?PHPSESSID=1mc9j07r7bdnvik3pr78qoc141&PHPSESSID=t0p70cu2ae378lcv8ii8hmqen6
ดาวหาง Lovejoy ประกอบด้วยกลุ่มก้อนฝุ่นและก้อนน้ำแข็ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 200 เมตร ได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าแกนกลางของมันเหลืออยู่ประมาณเท่าไรหรือมันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน หลังจากมันได้รับความร้อน ณ จุดที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดไปแล้ว “มันมีความเป็นไปได้ที่ดาวหาง Lovejoy จะเริ่มแตกตัว” คาร์ล แบทแทมส์ (Karl Battams) กล่าว “มันได้ผ่านเหตุการณ์ที่รุนแรง (ได้รับความร้อนมหาศาลจากดวงอาทิตย์) ซึ่งมีผลโดยตรงกับโครงสร้างของมัน ตอนนี้มันอาจจะอ่อนแอมาก”
SDO ยังสามารถถ่ายภาพมันไว้ได้ในวันที่ 16 ธ.ค. ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ดาวหาง Lovejoy ได้ผ่านจุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดมาแล้ว และกำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากดวงอาทิตย์
http://spaceweather.com/images2011/16dec11/lovejoy_c3_anim2.gif?PHPSESSID=1mc9j07r7bdnvik3pr78qoc141&PHPSESSID=t0p70cu2ae378lcv8ii8hmqen6

ในตอนแรกเมื่อดาวหางโผล่ออกมา หางของมันหายไป นี่อาจเป็นเพียงลักษณะทางเรขาคณิตที่ทำให้เรามองไม่เห้นหางชองมัน เนื่องจากหางของมันมีทิศพุ่งออกจากโลก ดังนั้นมันจึงมองไม่เห็นในช่วงแรก ในทางตรงกันข้าม หางมันอาจจะหายไปจริงๆ เนื่องจากมันถูกความร้อนของดวงอาทิตย์ทำให้หายไป ภาพจาก SOHO ชุดใหม่จะแสดงให้เราเห็นความจริงต่อไป