เดือนกรกฎาคม
2552
July
2009
....
July 24th,
2009
ลมสุริยะ
(solar wind) มีอุณหภูมิสูงกว่าที่ควร
และเป็นเวลาหลายทศวรรษที่นักวิจัยมีความสนใจในแหล่งพลังงานที่ไม่ปรากฏที่มาซึ่งให้ความร้อนแก่ลมสุริยะ
ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review Letter ฉบับวันที่ 12
มิถุนายน ศกนี้ นักวิทยาศาสตร์องค์การนาซากล่าวว่าพวกเขาอาจจะพบคำตอบแล้ว
Melvyn
Goldstein หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการณ์ฟิสิกส์ธรณีอวกาศ (Geospace Physics
Laboratory) ณ ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ด (Goddard Space Flight Center)
ขององค์การนาซา หนึ่งในผู้เขียนบทความระบุว่า
แหล่งพลังงานที่ให้ความร้อนต่อลมสุริยะก็คือความปั่นป่วน (turbulence)
คล้ายกับการคนกาแฟเพียงเล็กน้อย ในทางตรงกันข้าม เมื่อคุณคนกาแฟ
กาแฟจะเย็นลง แต่เมื่อดวงอาทิตย์คนลมสุริยะ ลมสุริยะกลับร้อนขึ้น
อย่างไรก็ดีเมื่อคนกาแฟด้วยช้อน
การคนจะทำให้เกิดการหมุนวนและกระแสวนในของเหลว ส่วนย่อยๆ
ของกระแสหมุนวนจะแตกตัวเป็นวงกระแสหมุนวน (Eddy current) ที่เล็กลงๆเรื่อย
จนขนาดเล็กที่สุด
การเคลื่อนที่จะเกิดความปั่นป่วนและพลังงานเปลี่ยนเป็นความร้อน
เนื่องจากการถ่ายทอดพลังงานถ่ายทอดลงมาจากกระแสหมุนวนขนาดใหญ่ลงสู่กระแสหมุนวนขนาดเล็ก
กระบวนการนี้เรียกว่า “การลดหลั่นแบบปั่นป่วน (turbulent cascade)”
ตัวอย่างการถ่ายทอดความปั่นป่วนแบบลดหลั่นของน้ำตก
Iguazu ในอาร์เจนตินา ด้านบนมีขนาดของความปั่นป่วนใหญ่
ส่วนด้านล่างกระแสความปั่นป่วนเล็กลง Credit: Fouad Sahraoui
โดยทฤษฎี
การลดหลั่นแบบปั่นป่วนควรจะให้ความร้อนแก่กาแฟด้วย
แต่ในความเป็นจริงกาแฟกลับเย็นลง
ที่เป็นดังนี้เนื่องจากการคนทำให้กาแฟที่อยู่ลึกลงไปในแก้วอุ่นขึ้น
แต่ผิวกาแฟด้านบนซึ่งสัมผัสกับอากาศกลับเย็นลงเพราะกาแฟถ่ายทอดความร้อนให้อากาศ
ดังนั้นแม้การคนจะให้ความร้อนแก่กาแฟ
แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยความร้อนที่เสียไปให้อากาศ
ในขณะที่อวกาศไม่มีอากาศเย็นมารับความร้อนจากลมสุริยะ
ดวงอาทิตย์คนลมสุริยะด้วยกระแสก๊าซความเร็วสูงที่ออกมาจากชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์
สิ่งสำคัญก็คือลมสุริยะคนตัวเอง
โดยกระแสหมุนวนขนาดใหญ่แตกตัวออกเป็นกระแสหมุนวนขนาดเล็ก
ทำให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานที่สุดท้ายจะกระจายกลายเป็นความร้อน
อุณหภูมิที่ถูกเพิ่มให้ลมสุริยะไม่ได้มีอากาศมาทำให้เย็นลง
“เราคาดหมายมาเป็นเวลาหลายปีที่การปั่นป่วนจะให้ความร้อนแก่ลมสุริยะ”
Fouad Sahraoui ผู้เขียนนำในบทความนี้จาก ๖(Centre National de la
Recherche Scientifique : CNRS) ประเทศฝรั่งเศส
พายุจุดแดงใหญ่(Great Red Spot) ที่กำลังหมุนวน ถูกล้อมรอบด้วยกระแสหมุนวนปั่นป่วน Credit: Hubble Space Telescope/NASA
ข้อมูลสำคัญที่ได้จากยานอวกาศของยุโรปทั้งสี่ลำอย่าง
Cluster ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อปี 2543
เพื่อศึกษาปริมณฑลสนามแม่เหล็กที่ห่อหุ้มโลก (Magnetosphere)
ที่ปกป้องโลกจากลมสุริยะและรังสีคอสมิค
ภายปริมณฑลแม่เหล็กประกอบด้วยวงแหวนรังสีแวน อัลลึน (Van Allen radiation
belt) ออโรร่า (aurora) และกระแสวงแหวน (ring current)
กองยานอวกาศคลัสเตอร์ใช้เวลาส่วนมากในปริมณฑลแม่เหล็กโลก
ที่ซึ่งยานอวกาศสามารถศึกษาการปรากฏการณ์ที่หลากหลาย
วันหนึ่งในเดือนมีนาคม
2549 ยานอวกาศทั้งสี่ลำได้หลุดออกไปนอกปริมณฑลแม่เหล็ก สู่ลมสุริยะ
เป็นเวลาสามชั่วโมงที่เครื่องตรวจวัดของ Cluster
วัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและกระแสหมุนวนอันปั่นป่วนภายในธารก๊าซความเร็วนับล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ไหลผ่านกองยาน
พลังงานจากการปั่นป่วนลดขนาดลงจากขนาดประมาณ 1,000,000 กิโลเมตร
เหลือเพียง 3 กิโลเมตร ที่จุดสุดท้ายของการลดทอน
พลังงานถูกดูดกลืนโดยอิเลคตรอน(electron)ภายในกระแสลมสุริยะ
แนวคิดพื้นฐานของการลดหลั่นเชิงปั่นป่วนโดย Lewis Richardson ในปี 2463 Credit: Antonio Celani
Sahraoui
และ Goldstein
ต้องการยืนยันผลการศึกษาและปรับปรุงรายละเอียดด้วยการส่งกองยานคลัสเตอร์
กลับสู่ลมสุริยะอีกครั้ง เพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลให้นานกว่า
“สามชั่วโมงแห่งความโชคดี(three lucky hours)”
แต่ข้อมูลพื้นฐานก็ถือว่าแข็งแกร่งพอแล้ว
การให้ความร้อนโดยการปั่นป่วนเพิ่มอุณหภูมิให้กับลมสุริยะใกล้โลกจาก 0.01
องศา (ค่าประมาณจากทฤษฎี) ถึง 0.1 องศา หรือมากกว่า Goldstein กล่าวว่า
การให้ความร้อนจากความปั่นป่วนของลมสุริยะบางทีเกิดในสถานการณ์ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์มากมาย
จากระดับลมสุริยะ สนามแม่เหล็กดาวเคราะห์ ไปจนถึงสนามแม่เหล็กของหลุมดำ
เหตุการณ์แบบนี้ยังพบได้ในแม้แต่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชัน
ความปั่นป่วนภายในเตาปฏิกรณ์ฟิวชันทำให้เกิดความไม่เสถียรที่ทำลายความสามารถในการกักพลาสมาไว้ภายใน
ดังนั้นลมสุริยะจึงเป็นห้องทดลองโดยธรรมชาติเพื่อความความเข้าใจฟิสิกส์นี้
แผนที่ผิวดาวศุกร์บอกใบ้ เคยมีน้ำและภูเขาไฟ
July 17th,
2009
ยานอวกาศ
Venus Express (VE) ขององค์การอวกาศยุโรป
ถ่ายทำแผนที่ผิวซีกใต้ของดาวศุกร์(Venus)
ด้วยการตรวจจับคลื่นรังสีอินฟราเรด
แผนที่ผืนใหม่นี้บ่งบอกว่าพิภพเพื่อนบ้านของเราดวงนี้
ครั้งหนึ่งเคยมีสภาพคล้ายโลก ด้วยระบบแผ่นทวีป(plate tectonics system)
และมหาสมุทรของน้ำ
ด้วยการบันทึกนับพันภาพในช่วงเดือนพฤษภาคม 2549
จนถึงธันวาคม 2550 เนื่องจากดาวศุกร์ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ
ดังนั้นกล้องถ่ายภาพธรรมดาๆ จึงไม่อาจมองเห็นผิวดาวได้
แต่ด้วยกล้องถ่ายภาพอินฟราเรด
ที่สามารถจับรังสีอินฟราเรดจากผิวดาวอันร้อนระอุ
อีกทั้งคลื่นนี้ยังสามารถทะลุผ่านชั้นเมฆออกสู่อวกาศได้ ทำให้ยาน VE
สามารถจับภาพในย่านรังสีนี้และถ่ายภาพผิวดาวได้
แม้ว่าในอดีตการถ่ายทำแผนที่ผิวดาวศุกร์จะใช้คลื่น “เรดาร์ (radar)”
VE
เป็นยานอวกาศซึ่งโคจรรอบดาวเคราะห์ลำแรกที่สามารถทำแผนที่องค์ประกอบทางเคมีของหินได้
ข้อมูลใหม่ๆ ประกอบด้วยบริเวณที่รอบสูงของดาวศุกร์ซึ่งก็คือทวีปโบราณ
ซึ่งครั้งหนึ่งถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรและผลผลิตของกิจกรรมของภูเขาไฟในอดีต
ภาพจำลองแสดงยานอวกาศ
Venus Express กำลังโคจรรอบดาวศุกร์เพื่อศึกษาชั้นบรรยากาศ พื้นผิว
และสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกและมีสภาพเรือนกระจกทั้งดวง
Credits: ESA (Image by AOES Medialab)
หินดังกล่าวดูแตกต่างไปเนื่องจากปริมาณรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกสู่อวกาศ
คล้ายกับสิ่งที่กำแพงหินได้รับความร้อนในช่วงกลางวันและแผ่ออกมาในช่วงกลางคืน
นอกจากนี้ปริมาณการแผ่รังสีที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นผิวขึ้นอยู่กับสมบัติการแผ่รังสีของสสาร
(emissivity) อุปกรณ์ Visible and Infrared Thermal Imaging
Spectrometer (VIRTIS)
สามารถจับภาพการแผ่รังสีของดาวศุกร์ในขณะที่ตัวยานโคจรมาอยู่ทางด้านกลางคืนของซีกใต้ของดาวศุกร์
ในทศวรรษที่
70 และ 80 ของศตวรรษก่อน ยานร่อนสำรวจของสหภาพรัสเซีย 8 ลำ
ได้ลงแตะผิวดาวศุกร์และพบหินคล้ายหินบะซอลท์(basalt-like rock)
ในบริเวณที่ลงจอด แผนที่ใหม่นี้แสดงให้เห็นว่าหินบริเวณที่ราบ Phoebe
และ Alpha Regio
มีสีอ่อนกว่าและดูเก่าเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวเคราะห์
บนโลกหินสีอ่อนๆ แบบนี้ปกติเป็นหินแกรนิต(granite) และก่อตัวเป็นทวีป
หินแกรนิตเกิดขึ้นเมื่อหินในยุคโบราณอย่างหินบะซอลท์
ถูกดันลงไปใต้ผิวดาวด้วยกระบวนการเคลื่อนตัวของแผ่นทวีป
เมื่อน้ำรวมกับหินบะซอลท์กลายเป็นหินแกรนิตและเกิดของผสมใหม่จากการระเบิดของภูเขาไฟ
ตัวอย่างแผ่นธรณีภาค(Plate
Tectonics) หรือแผ่นทวีปของโลกอันเป็นแผ่นเปลือกโลกที่แยกเป็นชิ้นๆ
และมีการเคลื่อนไหวทีละน้อย
โดยผลของการเคลื่อนไหวชนหรือแยกห่างออกจากกันทำให้เกิดแผ่นดินไหน
ภูเขาไฟระเบิด การแยกตัวของทวีป ฯลฯ Credit:Topinka, USGSICVO, 1997,
Modified from: Tiling, Heliker, and Wright 1987, and Hamilton, 1976
Modified for NZphoto 2001
แผนที่แสดงอุณหภูมิบนผิวดาวศุกร์จากการตรวจวัดรังสีอินฟราเรดโดยอุปกรณ์
VIRTIS บนยานอวกาศ VENUS EXPRESS โดยเส้นสีดำ-ขาว แสดงระดับความสูง
ส่วนแถบสีม่วงถึงแดงแสดงอุณหภูมิพื้นผิวตั้งแต่ 695 ถึง 715
เคลวิน ในภาพแสดงขั้วใต้เป็นจุดศูนย์กลาง
Credits: ESA/VIRTIS/INAF-IASF/Obs. de Paris-LESIA
และการพบหินแกรนิตบนดาวศุกร์ย่อมแสดงว่ามันเคยมีมหาสมุทรและแผ่นทวีปในอดีต
วิธีการที่จะพิสูจน์ให้แน่ใจว่าที่ราบสูงนั้นเป็นทวีปมาก่อนคือการส่งยานสำรวจร่อนลงบนผิวดาวศุกร์
น้ำบนดาวศุกร์ระเหยออกสู่อวกาศ แต่บางส่วนก็ยังอยู่ในภูเขาไฟ
ผลการสังเกตการณ์ด้วยรังสีอินฟราเรดซึ่งอ่อนไหวต่ออุณหภูมิอย่างยิ่ง
ภายในภาพแสดงการผันแปรของอุณหภูมิเพียง 3 ถึง 20 องศาเซลเซียส
แทนที่จะเห็นการผันแปรของอุณหภูมิที่คาดว่ามาจากการไหลของหินหลอมเหลว(lava)
แม้ว่า VE
ยังไม่อาจตรวจพบหลักฐานที่บ่งบอกว่ามีภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่ในขณะนี้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบนดาวศุกร์ไม่มีภูเขาไฟที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่
แผนที่ดาวศุกร์ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำความเข้าใจว่าเหตุใดดาวเคราะห์ที่มีขนาดพอๆ
กับโลกดวงนี้กลับมีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไปจากโลก
สุริยุปราคา 22 กรกฎาคม 2552
July 10th,
2009
สุริยุปราคา
(solar eclipse)
คือปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์โคจรผ่านมาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์
ซึ่งก็คือในวันแรม 15 หรือ 14 ค่ำของเดือนจันทรคติ (lunar month)
โดยมีเงื่อนไขว่า “เงามืด (umbra)”
ของดวงจันทร์ที่พาดมาทางด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์นั้น
จะต้องยาวกว่าระยะทางจากผิวโลกถึงดวงจันทร์
ซึ่งจะทำให้เงามืดพาดทับลงมาบนผิวโลกพอดี
ผู้สังเกตที่อยู่ในบริเวณที่
“เงามืด” พาดผ่าน จะเห็นดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งดวง
เรียกว่าเหตุการณ์นี้ว่าสุริยุปราคาเต็มดวง(total solar eclipse)
นอกจากนี้ยังมี “เงามัว (penumbra)” ที่อยู่ถัดออกมาจากเขตเงามืด (รูปที่
1 จุด A) ผู้สังเกตในบริเวณเงามัว
จะเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เรียกว่า
“สุริยุปราคาแบบบางส่วน (partial solar eclipse)” (รูปที่ 1 จุด B)
และเมื่อเงามืดสั้นกว่าระยะทางจากผิวโลกถึงดวงจันทร์ทำให้เกิดเงามัวด้านหลังเงามืด
และผู้ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวจะเห็นอุปราคาแบบวงแหวน (annular solar
eclipse) (รูปที่ 1 จุด C)
สุริยุปราคา กรกฎาคม 2552
รูปที่
1 แผนภาพแสดงสุริยุปราคาแบบสามแบบ (A) สุริยุปราคาเต็มดวง (B)
สุริยุปราคาบางส่วน และ (C) สุริยุปราคาวงแหวน Image credit: The LESA
Project, Kirdkao Observatory
ในวันพุธที่
22 กรกฎาคม ศกนี้ จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาขึ้นอีกครั้ง
โดยจะเริ่มต้นเมื่อเงามืดของดวงจันทร์พาดแตะผิวโลกที่บริเวณอ่าวแห่งกัมบัท
(Gulf of Khambhat) ประเทศอินเดีย ใน เวลา 7:51 น. ของประเทศไทย
แล้วเคลื่อนขึ้นบกเข้าสู่ประเทศอินเดีย ผ่านเมืองสุรัท(Surat)
โบพัล(Bhopal) พาราณาสี(Varanasi) เป็นต้น
ขึ้นเหนือเข้าสู่ประเทศภูฐาน(Bhutan) เนปาล(Nepal)
บังคลาเทศ(Bangladesh) และสหภาพเมียร์มาร์(Myanmar)
ก่อนจะเข้าสู่ประเทศจีนในเวลา 8:05 น. ของประเทศไทย (ดูรูปที่ 2 )
เงามืดจะกวาดผ่านแถบจีนตอนกลางจนถึงชายฝั่งตะวันออกของ
ณ เมืองเซี่ยงไฮ้(Shanghai) ที่เวลา 8:39 นาที
แล้วพาดลงทะเลจีนตะวันออก ผ่านหมู่เกาะริวกิว (Ryukyu) และ อิโวะ จิมะ(Iwo
Jima) ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ปรากฏการณ์นี้จะสิ้นสุดในเวลา 11:18
น. เมื่อเงาของดวงจันทร์หลุดออกไปจากโลกสู่อวกาศ
หลังจากที่พาดผ่านโลกเป็นเวลา 3.4 ชั่วโมง
ด้วยระยะทางตามแนวพาดผ่านบนผิวโลกประมาณ 15,200 กิโลเมตร
รูปที่
2 สีน้ำเงินคือเส้นทางที่ “เงามืด”
จะตัดผ่านผิวโลกทำให้เป็นอุปราคาเต็มดวง
ถัดออกไปตามเส้นสีฟ้าและเขียวคือบริเวณที่ “เงามัว” พาดบนผิวโลก
ผู้สังเกตในบริเวณนี้จะเห็น “อุปราคาบางส่วน” image credit: F. Espenak,
NASA’s GSFC
การชมสุริยุปราคาในประเทศไทย
ผู้พักอาศัยในประเทศไทยมีโอกาสเฝ้าชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้
ในรูปแบบสุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse) โดยสำหรับกรุงเทพมหานคร
ดวงจันทร์จะเริ่มบังดวงอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 7:06 น.
และบดบังพื้นที่ดวงอาทิตย์มากที่สุด ประมาณ 42.27%
ของขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์ หรือเกือบครึ่งดวง ในเวลา 8:04 น.
แล้วจะเคลื่อนออกจนสิ้นสุดสุริยุปราคาแบบบางส่วน ในเวลา 9:08 น.
อย่างไรก็ดี
ช่วงเวลาดังกล่าวของประเทศไทยดวงอาทิตย์จะอยู่ทางทิศตะวันออก
ค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย มุมเงยประมาณ 28 องศา
ซึ่งค่อนข้างใกล้ขอบฟ้ามาก
ทำให้เมฆและฝุ่นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเฝ้าชมสุริยุปราคาบางส่วนครั้งนี้
โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีอาคารสูง หรือฝุ่นจากการจราจร
การพยากรณ์เมฆในวันที่ 22 กรกฎาคม ศกนี้
คาดว่าในบริเวณประเทศไทยมีอัตราของเมฆบนท้องฟ้าประมาณร้อยละ 60 ถึง 70
ของท้องฟ้า เกือบทุกภาคของประเทศ ตามรูปที่ 3
การดูสุริยุปราคาอย่างปลอดภัย
รูปที่
3 แผนภูมิระดับ(contour map)
แสดงปริมาณเมฆเฉลี่ยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่เกิดสุริยุปราคาวันที่
22 กรกฎาคม image credit: Anderson and F.Espenak
การสังเกตการณ์สุริยุปราคาแบบบางส่วน
แม้ว่าแสงจากดวงอาทิตย์ยามเช้าจะไม่จัดจ้าเช่นช่วงกลางวันหรือบ่าย
แต่การมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยตรงก็ยังถือว่าอันตรายต่อสายตามนุษย์มาก
การมองผ่านแผ่นฟิล์มที่ใช้แล้ว กระจกรมควันจนดำ
หรือแม้แต่การมองผ่านกล้องสองตา (binocular)
หรือกล้องโทรทรรศน์ที่มีแผ่นกรองแสงติดตั้งก็ยังอันตรายเกินไป
วิธีการที่ปลอดภัยคือมองการฉายภาพจากอุปกรณ์ทางทัศนะศาสตร์ข้างต้น
ลงบนฉากรับภาพ หรืออีกวิธีหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูง
คือ “กล้องรูเข็ม”
โดยการใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเรียบเจาะรูขนาดเล็กแล้วนำไปรับแสงจากดวงอาทิตย์
แสงที่ลอดผ่าน “รูเข็ม” (pinhole)
จะปรากฏบนฉากรับภาพด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งเมตร
หรือใช้กล่องรองเท้าหรือขนมดังตัวอย่างรูปที่ 4
รูปที่
4 แสดงการฉายภาพอุปราคาจากกล้องสองตาลงบนฉากรับภาพ
วิธีการนี้ยังสามารถใช้กับกล้องโทรทรรศน์ที่มีแผ่นกรองแสงครอบหน้ากล้องได้อีกด้วย
และกล้องรูเข็มที่ทำจากกล่องอาหารเสริมหรือกล่องรองเท้า image credit:
Jon Harper & Joe Cummings
สุริยุปราคาครั้งต่อไป
สุริยุปราคาครั้งต่อไปจะเป็นสุริยุปราคาวงแหวน
ที่สามารถเห็นได้ในทวีปแอฟริกากลาง มหาสมุทรอินเดีย อินเดียตอนใต้
ศรีลังกา สหภาพพม่าและประเทศจีน ในวันที่ 15 มกราคม 2553
ทว่าสำหรับประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเห็นเป็น
สุริยุปราคาบางส่วน ในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว
จันทรุปราคา
จันทรุปราคา(lunar
eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดคู่กับสุริยุปราคา
แต่จะเกิดหลังจากสุริยุปราคาในอีกประมาณ 14 – 15 วัน เนื่องจาก
สุริยุปราคา เป็นปรากฏการณ์ที่ ดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์-โลก
เรียงกันเป็นแนวตรง
แต่จันทรุปราคานั้นเป็นการที่เงาของโลกไปทับดวงจันทร์
มีการเรียงลำดับเป็น ดวงอาทิตย์-โลก-ดวงจันทร์ ตามรูปที่ 5
ซึ่งต้องรอให้ดวงจันทร์โคจรอ้อมไปอยู่ด้านหลังโลกในอีกครึ่งเดือนให้หลัง
โดยหลังจากสุริยุปราคา 22 สิงหาคม 2552 แล้ว จะเกิดจันทรุปราคาในวันที่ 6
สิงหาคม 2552 ซึ่งผู้สังเกตในทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้ ยุโรป แอฟริกา
เอเชียตะวันตก เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน
ที่มีโอกาสสังเกตการณ์
รูปที่
5 การจัดเรียงตัวของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ในช่วงที่เกิดจันทรุปราคา
(มาตราส่วนของขนาดและระยะทางไม่ถูกต้อง) image credit: www.MrEclipse.com,
F. Espenak
สุริยุปราคากับประเทศไทย
สุริยุปราคาโดยทั่วไปจะทำให้พื้นที่ที่เงากวาดผ่านมืดลงชั่วระยะเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แทบทุกปี
เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ที่จะมองเห็นสุริยุปราคาไปเรื่อยๆ บนผิวโลก
บางครั้งก็สามารถเห็นได้ในมหาสมุทร ขั้วโลก ผืนทวีป
ดังนั้นผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโดยรวมไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างเด่นชัด
อาจจะทำให้บริเวณที่เงาพาดผ่านอุณหภูมิต่ำลงเพียงชั่วขณะเท่านั้น
โดยทั่วไปไม่มีหลักฐานแสดงความเกี่ยวข้องกันระหว่างสุริยุปราคากับปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาอย่างเช่นแผ่นดินไหวหรือคลื่นยักษ์อย่างแน่ชัด
ส่วนแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ที่มีต่อโลกนั้น
ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง (tidal)
อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความพรั่นพรึงต่อผู้คนในยุคโบราณที่ขาดความเข้าใจในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติชนิดนี้
แต่ในปัจจุบันเหตุการณ์นี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่สามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนแก่นักเรียนใน
รายวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เช่น
o ใช้การบังดวงอาทิตย์ของดวงจันทร์มาในการศึกษากฎการเคลื่อนที่และการโคจรในอวกาศ
o
ความสัมพันธ์ของขนาดปรากฏของวัตถุกับระยะห่างจากผู้สังเกตที่ทำให้ดวงจันทร์ซึ่งแท้จริงมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์หลายเท่ากลับสามารถบดบังดวงอาทิตย์ทั้งดวงได้
o
การทำความเข้าใจหลักการและการใช้งานอุปกรณ์ทางทัศนะศาสตร์ เช่น
กล้องรูเข็ม, กล้องโทรทรรศน์, และกล้องสองตาเป็นต้น
o
ด้านสาขาธรณีวิทยา ปรากฏการณ์แหวนเพชร(Diamond ring)
ที่เกิดจากแสงอาทิตย์ลอดผ่านหลุมอุกกาบาตหรือช่องเขาบนดวงจันทร์
ช่วยในการทำความเข้าใจลักษณะภูมิประเทศบนผิวดวงจันทร์
o
ในพื้นที่ซึ่งเงามืดพาดผ่านจะพบว่าแสงสว่างลดลงราวกลับเป็นช่วงพลบค่ำ
ชั้นเรียนวิชาชีววิทยาสามารถสังเกตการณ์พฤติกรรมของพืชและสัตว์ในช่วงเวลาดังกล่าว
o
ในสาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์เช่น ประวัติศาสตร์ ศิลปะศาสตร์
มนุษยศาสตร์ ศาสนะศาสตร์ หรือจิตวิทยา
นักเรียนอาจค้นคว้าสุริยุปราคาในประวัติศาสตร์เพื่อศึกษามุมมองของมนุษย์ต่อปรากฏการณ์นี้ในแต่ละยุคสมัยและภูมิภาค
ตัวอย่างข้างต้นถือเป็นตัวอย่างส่วนหนึ่ง
ของกิจกรรมที่เสริมส่งความเข้าใจเชิงวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
ตลอดจนสาขาวิชาอื่นๆ ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับปรากฏการณ์นี้
เพื่อสร้างและส่งเสริมความรู้ความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงความรู้ในตำรากับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เอกสารเพิ่มเติม
Anderson, J., Eclipse Weather and Maps
Espenak,
F., Jay Anderson., Predictions for Total Solar Eclipses of 2008, 2009
and 2010, Presented at IAU Symposium 233 - Solar Activity and Its
Magnetic Origin, Cairo, EGYPT (2006 Apr 04)
Espenak, F., Fifty Year Canon of Solar Eclipses: 1986-2035, Sky Publishing Corp., Cambridge, MA, 1988.
Japan
or China - 2009 July 22 Total Solar Eclipse - Interactive Google Map
(Full Screen) - Xavier Jubier.,
http://xjubier.free.fr/en/site_pages/solar_eclipses/TSE_2009_GoogleMapFull.html
พบแหล่งกำเนิดรังสีคอสมิคในทางช้างเผือก
July 2nd,
2009
Adapted from
eso.org Milky Way's super-efficient particle accelerators caught in the
act
ต้องขอบคุณการศึกษาแบบประสานข้อมูลสองแหล่ง
ที่รวมข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ Very Large Telescope (VLT)
ของหอสังเกตการณ์ท้องฟ้าซีกใต้ยุโรป(European Southern Observatory: ESO)
กับหอสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทรา(Chandra X-ray Observatory)
ขององค์การนาซา
ซึ่งช่วยให้คณะนักดาราศาสตร์ไขปริศนาอันยาวนานแห่งกลไกการเร่งอนุภาคของกาแลกซีทางช้างเผือก(Milky
Way) พวกเขาแสดงผลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science
Express
ว่ารังสีคอสมิค(cosmic rays) จากกาแลกซีของเรา
ถูกเร่งอย่างมีประสิทธิภาพสูงในซากของดาวฤกษ์ที่ระเบิดตัวเอง(stellar
remnant)
ภาพซากการระเบิดของดาวฤกษ์เมื่อปี
ค.ศ. 185 เมื่อศึกษารายละเอียด
นักดาราศาสตร์ก็พบว่าที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่ใช้เร่งพลังงานให้รังสีคอสมิค
Credit:ESO/E. Helder & NASA/Chandra
ในช่วงเที่ยวบินอพอลโล(Apollo)
(ช่วงที่โครงการอพอลโลส่งจรวดและนักบินออกไปปฏิบัติภารกิจในอวกาศ-ผู้แปล)
นักบินอวกาศรายงานการพบแสงวาบประหลาด
ซึ่งสามารถมองเห็นได้แม้ในขณะที่ปิดตา
เราได้เรียนรู้จากครั้งนั้นว่าเกิดจากรังสีคอสมิค
อันเป็นอนุภาคพลังงานสูงจากนอกระบบสุริยะ(solar system) ซึ่งมาถึงโลก
และชนกับชั้นบรรยากาศของโลกอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อรังสีเหล่านั้นมาถึงโลก
พวกมันก็ยังมีพลังงานเหลือมากพอที่จะทำให้เกิดความผิดปกติในอุปกรณ์ไฟฟ้า
รังสีคอสมิคจากกาแลกซี(galactic
cosmic ray) มาจากแหล่งกำเนิดภายในกาแลกซีทางช้างเผือกของเราเอง
และประกอบด้วย โปรตอนซึ่งเป็นอนุภาคส่วนใหญ่ของรังสีชนิดนี้
โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเข้าใกล้อัตราเร็วของแสง อันเป็น
“ขีดจำกัดอัตราเร็วมากที่สุด” ภายในเอกภพ
โปรตอนเหล่านี้ถูกเร่งจนมีพลังงานสูงกว่าพลังงานของอนุภาคที่สร้างจากเครื่อง
Large Hadron Collider ของ CERN หลายเท่า
ภาพมุมกว้างแสดงพื้นที่นักดาราศาสตร์ใช้สำรวจยืนยันว่าซากของการระเบิดของดาวฤกษ์
เป็นแหล่งที่เร่งพลังงานของรังสีคอสมิค
วงรีสีแดงคือบริเวณที่เป็นซากหลงเหลือจากการระเบิด
กล่องสีแดงด้านซ้ายมือคือจุดที่ VLT และ กล้องจันทราสำรวจ
บริเวณนี้เรียกว่า RCW 86 โดยตำแหน่งใจกลางคือดาวฤกษ์ที่ระเบิดตัวเองเมื่อ
ค.ศ. 185 Credit:ESO and Digitized Sky Survey 2. Acknowledgment: Davide
De Martin
Eveline
Helder จากสถาบันดาราศาสตร์อูเทรชท์ แห่งมหาวิทยาลัยอูเทรชท์
(Astronomical Institute Utrecht of Utrecht University)
ในเนเธอร์แลนด์
และผู้เขียนชื่อแรกในบทความรายงานการศึกษา กล่าวว่า
“มันเป็นที่เชื่อกันมานาแล้วว่ามหาเครื่องเร่งอนุภาคที่ผลิตรังสีคอสมิคภายในกาแลกซีทางช้างเผือกคือเปลือกที่กำลังขยายตัวจากการระเบิดของดาวฤกษ์
แต่ผลการสังเกตการณ์ของเราเผยว่าควันปืนที่หลงเหลืออยู่
(ซากการระเบิดของดาวฤกษ์)
คือข้อพิสูจน์” Jacco
Vink
จากสถาบันดาราศาสตร์อูเทรชท์เสริมว่า
“แม้แต่คุณก็สามารถกล่าวได้ว่า
เราได้ยืนยันประสิทธิภาพของปืนที่ใช้ในการเร่งรังสีคอสมิคเข้าสู่พลังงานระดับมหาศาล”
เป็นครั้งแรกที่
Helder, Vink และผู้ร่วมงาน
พร้อมด้วยผลการวัดที่อธิบายความฉงนสนเท่ห์ทางดาราศาสตร์อันยาวนานว่าการระเบิดของดาวฤกษ์เพียงพอต่อการเร่งอนุภาคหรือไม่
เพื่อที่จะอธิบายจำนวนของรังสีคอสมิคที่ชนกับชั้นบรรยากาศโลก
ผลการศึกษาของคณะทำงานนี้บ่งชี้ว่ามันเกิดขึ้นจริงและบอกเราโดยตรงถึงระดับพลังงานที่ถูกดึงออกไปจากก๊าซที่ถูกกระทบกระแทกภายในการระเบิดของดาวฤกษ์
แล้วถูกนำมาใช้เร่งอนุภาค
“เมื่อดาวฤกษ์ดวงหนึ่งระเบิดเป็นอะไรที่เราเรียกว่า
“ซูเปอร์โนวา
(supernova)” Helder กล่าว
“พลังงานที่ถูกใช้ในการเร่งอนุภาค
มาจากความร้อนที่ใช้ในการทำให้ก๊าซร้อนขึ้น,
ซึ่งทำให้พวกมันเย็นกว่าสิ่งที่ทฤษฎีทำนายเอาไว้”
แสดงท้องฟ้าบริเวณที่เป็นแหล่งกำเนิดรังสีคอสมิคจากซูเปอร์โนวาโบราณ
RCW 86 Credit:ESO and Digitized Sky Survey 2. Acknowledgment:
Davide
De Martin
นักวิจัยมุ่งความสนใจไปยังซากของดาวฤกษ์ที่ระเบิดขึ้นเมื่อ
ค.ศ. 185 ซึ่งถูกบันทึกโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีน
ซากการระเบิดดังกล่าวเรียกว่า RCW 86 อยู่ห่างจากโลก 8200 ปีแสง
ในทิศทางกลุ่มดาว Circinus (เข็มทิศ)
อันเป็นบันทึกการระเบิดของดาวฤกษ์ที่เก่าแก่ที่สุด
การใช้กล้องโทรทรรศน์
VLT ของ ESO
คณะทำงานวัดอุณหภูมิของก๊าซที่อยู่ด้านหลังคลื่นกระแทก(shock
wave) อันเกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์
พวกเขาวัดอัตราเร็วของคลื่นกระแทกด้วย
โดยใช้ภาพถ่ายจากหอสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทรา ทุกๆ 3
ปี
พวกเขาพบว่าคลื่นกระแทกเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 10 ถึง 30
ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือราว 1 ถึง 3
เปอร์เซ็นต์ของอัตราเร็วแสง
อุณหภูมิของก๊าซที่เปลี่ยนสู่
30 ล้านองศาเซลเซียส
ซึ่งถือว่าร้อนมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานในชีวิตประจำวัน
ทว่ามันกลับเป็นค่าที่ต่ำกว่าการคาดการณ์
ที่ให้แก่ความเร็วของคลื่นกระแทก
ซึ่งควรจะทำให้ก๊าซร้อนมากกว่านี้อย่างน้อย 0.5
ล้านองศาเซลเซียส
“พลังงานที่หายไปจึงเป็นสิ่งที่ถูกนำไปขับรังสีคอสมิคนั่นเอง”
Vink สรุป
แปลและเรียบเรียงโดย วัชราวุฒิ
กฤตินธรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
----------------------------------------------------------