เดือนพฤศจิกายน 2549

November 2006

ดาวเสาร์ควงแขนดาวศุกร์เข้าชมรมดาวมีพายุหมุนที่ขั้ว

Saturn joins Venus in the vortex club

November 29th, 2006

Adapted from:esa.int

เดือนนี้ยานอวกาศ Cassini พบพายุหมุนบนขั้วดาวเสาร์ แต่เมื่อราว 25 ปีก่อนนักดาราศาสตร์พบพายุหมุนบนขั้วดาวศุกร์เช่นกัน แต่ครั้งนี้นักดาราศาสตร์เชื่อว่านี่จะช่วยถมช่องว่างแห่งความไม่เข้าใจเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ได้

เปรียบเทียบลมหมุนที่ขั้วดาวศุกร์(ซ้าย)กับดาวเสาร์(ขวา)

Credits: NASA/JPL/Space Science Institute/University of Arizona

ยานอวกาศ Pioneer Venus พบลมหมุนที่ขั้วเหนือของดาวศุกร์เมื่อ 25 ปีก่อน ครั้งนั้นพายุลูกนี้จัดเป็นปริศนาอย่างหนึ่งในระบบสุริยะ เนื่องจากมันมี “ตาพายุ” สองจุด แต่เมื่อ Venus Express เดินทางถึงดาวศุกร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และพบว่าที่ขั้วใต้ของดาวศุกร์ก็มีพายุหมุนที่มี “ตาพายุ” สองจุดเช่นกัน

ภาพขั้วใต้ของดาวศุกร์จากยาน Mariner 10 และ Pioneer Venus Credits: NASA

พายุหมุนที่ขั้วดาวถือเป็นกุญแจสำคัญในการศึกษาพลศาสตร์ของชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์แต่พวกมันไม่ใช่พายุเฮอริเคนเพราะพายุเฮอริเคนเกิดจากอากาศชื้นลอยตัวสูงขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แต่ดาวศุกร์ไม่มีความชื้น นอกจากนี้พายุเฮอริเคนจำเป็นต้องใช้แรงโคริโอริส(Coriolis) อันเป็นแรงที่เกิดจากการหมุนของอากาศและการหมุนของดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ทว่าแรงโคริโอริสกลับมีผลน้อยมากบริเวณขั้วดาวนอกจากนี้กว่าดาวศุกร์จะหมุนรอบตัวเองครบรอบยังต้องใช้เวลาถึง 243 วันของโลก นั่นหมายความว่าแรงโคริโอริสบนดาวศุกร์ยิ่งน้อยมากๆ

ในที่นี้ลมหมุนบริเวณขั้วดาวเกิดจาก อาณาเขตที่มีความกดอากาศต่ำซึ่งอยู่ที่ขั้วของดาวเคราะห์ทำให้ก๊าซในบรรยากาศชั้นสูงหมุนควงลงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่า ซึ่งปรากฎการณ์นี้เกิดได้บนดาวเคราะห์ทุกดวงแม้กระทั่งโลก

แต่ปัญหาก็คือดาวศุกร์มี “ตาพายุ” สองจุด เพื่อทำความเข้าใจลมหมุนประหลาดดังกล่าว ทุกครั้งที่ยาน Venus Express เข้าใกล้ขั้วดาว อุปกรณ์บนยานจะต้องเก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อติดตามการแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วของพายุให้ได้ละเอียดที่สุด เพื่อที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาพฤติกรรมและค้นหาปัจจัยเบื้องหลังปรากฎการณ์นี้

พายุหมุนคู่ที่ขั้วดาวศุกร์ Credits: ESA/VIRTIS/INAF-IASF/Obs. de Paris-LESIA

ในเวลาเดียวกันยาน Cassini กำลังเก็บเกี่ยวข้อมูลพายุหมุนที่ขั้วดาวเสาร์ต่อไป โดยใช้อุปกรณ์ Visual Infrared Mapping Spectrometer เพื่อศึกษาใจกลางของพายุลูกดังกล่าว

ภาพในย่านรังสีอินฟราเรดช่วยให้นักดาราศาสตร์มองทะลุชั้นเมฆที่บดบังแสงตามนุษย์มองเห็นลงไปได้มากกว่า 100 กิโลเมตร จากเมฆชั้นสูงสุดที่ตามนุษย์ไม่อาจมองลึกลงไปได้อีก ภาพที่ได้จะถูกนำไปศึกษาโครงสร้างสามมิติของพายุหมุนที่ขั้ว ซึ่งจะช่วยเปรียบเทียบโครงสร้างพายุหมุนระหว่างพายุบนดาวศุกร์กับดาวเสาร์ หรือแม้แต่บนดาวเคราะห์อื่นๆ ความคล้ายและความต่างของพายุชนิดนี้ บนดาวเคราะห์แต่ละดวงจะช่วยให้นักดาวเคราะห์วิทยาทำความเข้าใจความแตกต่างของชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เหนือสิ่งอื่นใดคือการ “เข้าใจ” โลกได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

Mars Global Surveyor อาจต้องถูกปลดระวาง

NASA’s Mars Global Surveyor May Be at Mission’s End

November 29th, 2006

Adapted from: www.nasa.gov

ดูเหมือนว่ายานอวกาศ Mars Global Surveyor orbiter(MGS) จะสิ้นสุดภารกิจไปแล้ว โดยตลอดช่วงเวลาที่มันทำงาน ยานอวกาศลำนี้ได้เก็บเกี่ยวข้อมูลจากดาวเคราะห์แดงได้มากกว่าภารกิจใดๆ ที่มนุษย์เคยส่งยานอวกาศไปเยือนดาวอังคาร และถ่ายภาพจากดาวอังคารส่งกลับมายังโลกได้มากกว่า 240,000 ภาพ

ภาพจำลองยานอวกาศ Mars Global Surveyor. Image credit: NASA/JPL

ยานอวกาศซึ่งโคจรรอบดาวอังคารลำนี้สูญเสียการสื่อสารกับโลกตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ในเบื้องต้นคณะทำงานสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะแผงเซลล์กำเนิดไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์หมุนตัวลำบากขึ้น ทำให้แผงเซลล์ดังกล่าวอยู่ในมุมที่รับแสงอาทิตย์ได้น้อย จนพลังงานที่ไฟฟ้าที่สร้างได้ไม่พอสำหรับใช้สื่อสาร แต่ทีมวิศวกรยังคงพยายามค้นหาความผิดพลาดอื่นๆ ที่เป็นไปได้อีก

อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ปัญหาครั้งนี้ ด้วยการฟื้นฟูการสื่อสารกับตัวยาน และค้นหาว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น นอกจากนี้ยังใช้กล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงซึ่งติดตั้งบนยานอวกาศสำรวจดาวอังคารลำใหม่ในนาม Mars Reconnaissance Orbiter เพื่อค้นหา MGS เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่พบยานลำดังกล่าว

วิธีการต่อไปที่จะนำมาใช้คือการส่ง “คำสั่ง” เพื่อใช้ “ตัวส่งสัญญาณ” ที่สามารถตรวจรับสัญญาณได้จากรถหุ่นยนต์สำรวจที่อยู่บนผิวดาวอังคาร ทว่าข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2006 หุ่นยนต์สำรวจดาวอังคาร Opportunity ไม่สามารถตรวจรับสัญญาณจากดาวเทียม Mars Global Surveyor orbiterได้

MGS ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2539 แล้วเดินทางถึงและโคจรรอบดาวอังคารเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2540 ยาน MGS นับเป็นยานลำแรกที่ใช้ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารช่วยลดความเร็วในขั้นตอนการโคจรรอบดาวอังคารเป็นวงรี เพื่อปรับวงโคจรเข้าสู่วงโคจรวงกลม จากนั้นจึงเริ่มภารกิจแรกด้วยการถ่ายภาพผิวดาวอังคารเพื่อทำแผนที่ในเดือนเมษายน 2542

เพื่อเข้าสู่วงโคจรในช่วงกันยายน 2540 ถึง มกราคม 2541 MGS จำเป็นต้องใช้ชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร

เพื่อช่วยชะลอความเร็วจนได้วงโคจรรูปวงกลมภายในเดือนมีนาคม 2541

Credit: http://www.xtec.es/recursos/astronom/mars/mgs.htm

ยาน MGS ช่วยกำหนดจุดลงจอดของหุ่นยนต์สำรวจผิวดาวอังคาร Opportunity และ Spirit เมื่อปี 2547 และยังช่วยกำหนดจุดลงจอดของยาน Phoenix และ Mars Science Laboratory นอกจากนี้ยังวิเคราะห์สภาพชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเพื่อเตรียมแผนชะลอความเร็วสำหรับยานอวกาศที่จะมาโคจรรอบดาวอังคาร
แผนการดั้งเดิมในภารกิจนี้คือการสำรวจดาวอังคารเป็นเวลา 1 ปีดาวอังคาร หรือประมาณ 2 ปีของโลกนั่นเอง และเนื่องจากข้อมูลอันทรงคุณค่าที่ได้มานี้เองทำให้ NASA ขยายเวลาโครงการสำรวจถึง 4 ครั้ง

ตลอดภารกิจที่ผ่านมา MGS ค้นพบร่องรอยทางธรณีวิทยาที่แสดงว่าอาจะมีน้ำในสถานะของเหลวไหลผ่านผิวดาวอังคาร ด้วยกล้องถ่ายภาพสเปคตรัมอินฟราเรด MGS พบสัญญาณที่ชี้ว่ามีแร่ธาตุที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากน้ำในบริเวณที่รถสำรวจ Opportunity ลงจอดบนผิวดาวเคราะห์แดง อุปกรณ์ตรวจวัดระดับความสูงด้วยเลเซอร์ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำแผนที่สัณฐานดาวอังคารได้ตั้งแต่หุบเขาไปจนถึงยอดเขา หรือแม้กระทั่งขั้วน้ำแข็ง
เครื่องวัดสนามแม่เหล็กพบหลักฐานที่บ่งบอกว่าเคยดาวอังคารเคยมีสนามแม่เหล็กเป็นเกราะป้องกันรังสีคอสมิคเช่นเดียวกับโลก และที่สำคัญที่สุดเมื่อ MGS โคจรรอบดาวอังคารตลอดทั้งปีของดาวดวงนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลบนดาวอังคารตั้งแต่ สภาพภูมิอากาศ สภาพขั้วน้ำแข็งแห้ง เป็นต้

แผนที่แสดงระดับความสูงของผิวดาวอังคาร โดย Mars Global Surveyor. Image credit: NASA/JPL

แม้ว่า MGS จะประสบปัญหาแผงเซลล์สุริยะเสียหาย ไจโรสโคปชำรุด หรือระบบส่งคำเตือนเรื่องกลไก มันก็ยังทำงานต่อไปและทำได้มากกว่าสิ่งที่ผู้ออกแบบคาดเอาไว้เสียด้วย คณะผู้สร้างและคณะทำงานจึงภาคภูมิใจในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับจากปฏิบัติการนี้ เป็นอย่างมาก

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

พบหลุมดำหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วใกล้เคียงค่าตามทฤษฎี

Pushing the Limit : Black Hole Spins at Phenomenal Rate

November 29th, 2006

Adapted from: www.space.com

ผลการศึกษาหลุมดำ(Blackhole) ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 35,000 ปีแสง ภายในกลุ่มดาวนกอินทรี (Aquila) ในย่านรังสีเอกซ์ ช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจสมบัติของหลุมดำมากยิ่งขึ้น และยิ่งน่าประหลาดใจกับปรากฎการณ์แปลกๆ ที่บริเวณใกล้หลุมดำ

หลุมดำคือซากดาวฤกษ์ที่สูญเสียพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันซึ่งใช้ต้านทานการยุบตัวเนื่องจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง เมื่อเหลือแต่เพียงแรงโน้มถ่วงและมีมวลมากพอซากดาวดังกล่าวก็จะยุบตัวลงไป ยิ่งขนาดวัตถุเล็กลงเท่าใดแรงโน้มถ่วงที่ผิวก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ผิวดาวจะยุบตัวลงจนกระทั่งกลายไม่มีขนาด หรือเรียกว่า จุดซิงกุลาริตี(singular point) กลายเป็น “หลุมดำ”

โครงสร้างของหลุมดำแบบ Kerr ซึ่งมีขอบฟ้าเหตุการณ์สองแห่งและจุดซิงกุลาริตี

วงแหวนมวลสาร (Accretion disk) Credit: Stuart J. Robbins

เราทราบกันดีว่ายิ่งวัตถุขนาด(หรือรัศมีรอบแกนหมุน)เล็กลงเท่าใดอัตราการหมุนรอบตัวเองก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เหมือนนักเล่นสเกตน้ำแข็งที่หมุนรอบตัวเองขณะกำลังกางแขน เมื่อนักสเกตน้ำแข็งคนดังกล่าวค่อยๆ หุบแขนเข้าแนบลำตัว เขาก็จะหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้นนั่นเองตามหลักการรักษาโมเมนตัมเชิงมุม

ในงานวิจัย Jeffrey McClintock และ Ramesh Narayan จากศูนย์ฮาร์ดวาร์ด-สมิทธโซเนียนเพื่อดาราศาสตร์ฟิสิกส์ (Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics) ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม Rossi X-ray Timing Explorer satellite ของนาซา เพื่อวัดการแผ่รังสีเอกซ์จากก๊าซหรือฝุ่นที่ถูกดึงเข้าไปใกล้หลุมดำแล้วร้อนขึ้นจนถึงอุณหภูมินับล้านองศา ซึ่งจะเปล่งรังสีเอกซ์อันเนื่องมาจากความร้อนออกมา นอกจากนี้ยังใช้เพื่อคำนวณพื้นที่ของวงแหวนฝุ่นรอบหลุมดำที่แผ่รังสีเอกซ์ดังกล่าวด้ว

หลุมดำคือเทหวัตถุที่ดึงดูดทุกอย่างไว้ได้ แม้กระทั่งแสง การระบุที่อยู่ของหลุมดำจึงต้องพึ่งพารังสีเอกซ์ที่เปล่งออกมาจากมวลสารใกล้ๆ หลุมดำ

ซึ่งมีความร้อนสูงมากพอที่จะเปล่งรังสีชนิดนี้ออกมาอย่างโดดเด่น    Credit: NASA/CXC/UCLA/M.Muno et al.

แรงโน้มถ่วงของหลุมดำที่ระยะใดๆ ไม่แตกต่างจากดาวฤกษ์ที่มวลเท่ากัน ถ้าหากดวงอาทิตย์ของเราจู่ๆ ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ แรงโน้มถ่วงที่มันกระทำต่อโลกยังคงไม่แปรเปลี่ยน แต่เมื่อก้อนสสารเข้าใกล้หลุมดำยิ่งขึ้น มันจะเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร้อนแล้วแผ่รังสีเอกซ์ออกมา

ในกรณีนี้สสารค่อยๆ หมุนวนช้าๆ ไปตามแผ่นวงแหวน เมื่อถึงระยะค่าหนึ่งมันจะถูกแรงโน้มถ่วงจากหลุมดำดึงให้ตกอย่างอิสระสู่หลุมดำอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถแผ่รังสีอะไรออกมาให้เห็นได้ นั่นคือที่ระยะดังกล่าวคือรัศมีวงในของแผ่นวงแหวนมวลสารนั่นเอง

ยิ่งหลุมดำหมุนเร็วเท่าใด รัศมีวิกฤติหรือระยะที่มวลสารจะถูกดึงให้ตกอย่างอิสระก็จะสั้นลง นั่นเป็นเพราะว่าขณะที่หลุมดำหมุนรอบตัวเองมันก็จะ “ลาก” เอา “อวกาศ-กาล” (space-time) ไปรอบๆ มันด้วย ดังนั้นเมื่อมีมวลสารโคจรรอบๆ หลุมดำในทิศทางเดียวกับหลุมดำหมุนรอบตัวเอง พวกมันก็จะถูกลากไปด้วยตามปรากฏการณ์ frame-dragging effect และนั่นทำให้มวลสารโคจรเป็นวงกลมที่เข้าใกล้หลุมดำได้มากยิ่งขึ้น

เปรียบเทียบวงแหวนมวลสารรอบดาวฤกษ์เมื่อหลุมดำไม่หมุน(ซ้าย) รัศมีวิกฤตจะใหญ่กว่า รัศมีวิกฤตของหลุมดำที่กำลังหมุน(ขวา)

ซึ่งทำให้ก๊าซสามารถโคจรใกล้ขอบฟ้าเหตุการณ์ได้มากขึ้น  Credit: NASA / NASA / CXC / M.Weiss

พวกเขาพบหลุมดำสองแห่งที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วประมาณร้อยละ 50 ของ อัตราการหมุนสูงสุดตามทฤษฎี(1,150 รอบต่อวินาที) ขณะที่หลุมดำ GRS1915+105 ซึ่งมีมวล 14 เท่าของดวงอาทิตย์ สามารถหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราร้อยละ 82(950 รอบต่อวินาที) และร้อยละ 100 ในที่นี้หลุมดำแต่ละดวงที่พวกเขาพบล้วนเป็นระบบดาวที่เรียกว่าระบบเทหวัตถุที่เปล่งรังสีเอกซ์ (X-ray binary system) ซึ่งใช้เรียกระบบวัตถุคู่ที่ดวงหนึ่งเป็นดาวฤกษ์ธรรมดาคล้ายๆดวงอาทิคย์ กำลังถูกดูดก๊าซออกไปโดยวัตถุอีกดวงที่เป็นหลุมดำ

แต่เดิมนักดาราศาสตร์สามารถคำนวณมวลของหลุมดำได้อย่างแม่นยำ แต่สำหรับการวัดอัตราการหมุนของหลุมดำนั้นเปรียบเสมือน “จอกศักดิ์สิทธิ์” สำหรับงานในสาขานี้เลยทีเดียว งานวิจัยนี้สามารถติดตามรายละเอียดได้ในวารสาร Astrophysical Journal ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ศกนี้

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

 

กล้องจันทราพบเครื่องเล่นพินบอลสัมพัทธภาพ

Chandra Discovers Relativistic Pinball Machine

November 21st, 2006

Adapted from: www.nasa.gov

คณะนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทราสำรวจซุเปอร์โนวา Cassiopeia A อายุ 325 ปี ซึ่งเป็นซูเปอร์โนวาอายุน้อยที่สุดภายในกาแลกซีทางช้างเผือก เพื่อคลี่คลายปริศนาแหล่งกำเนิดอนุภาคพลังงานสูงจากนอกระบบสุริยะที่ประกอบด้วยอิเลคตรอน โปรตอน และไอออน หรือเรียกว่า รังสีคอสมิค (Cosmic Ray) แล้วพบหลักฐานที่ชี้ว่าซากการระเบิดของดาวฤกษ์ (Supernova remnant) เป็นแหล่งกำเนิดอนุภาคมีประจุพลังงานสูง

ซูเปอร์โนวา Cassiopeia A จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา Image credit: NASA/CXC/UMass Amherst/M.D.Stage et al.

Michael Stage จากมหาวิทยาลัย Massachusetts อธิบาย “นักวิทยาศาสตร์เสนอทฤษฎีไว้เมื่อราว 40 ปีก่อน ว่ารังสีคอสมิคต้องถูกสร้างขึ้นภายในอาณาบริเวณอันยุ่งเหยิงของสนามแม่เหล็กใกล้หน้าคลื่นกระแทก แต่ครั้งนี้เราสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยตรง” “เป็นการอธิบายแหล่งกำเนิดของรังสีคอสมิคช่วยให้เราทำความเข้าใจปรากฎการณ์ลึกลับภายในย่านพลังงานสูงของเอกภพ” ตัวอย่างเช่น การเร่งอนุภาคมีประจุจนมีพลังงานสูงขึ้น ตั้งแต่สนามแม่เหล็กรอบโลก ไปจนถึงลำก๊าซความยาวหลายพันปีแสงจากหลุมดำมวลยวดยิ่ง

การแผ่รังสีเอกซ์จากความร้อนอันเนื่องมาจาก มวลสารที่ถูกผลักออกมาจากการระเบิดถูกคลื่นกระแทก

ทำให้ร้อนขึ้นจนมีอุณหภูมิสูงพอที่จะแผ่รังสีเอกซ์

Credit: NASA/CXC/MIT/UMass Amherst/M.D.Stage et al

ไม่นานก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายการเร่งอนุภาคมีประจุจนมีความเร็วใกล้เคียงแสง จากการเคลื่อนไปและกลับระหว่างสองตัวกลางบริเวณหน้าและหลังคลื่นกระแทกหลายต่อหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ทำให้อิเลคตรอนเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับลูกพินบอลที่ถูกกระแทกไปกระแทกมาภายในเครื่องเล่นเกมพินบอล

การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลของทีมวิจัย ทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะสัญญาณรังสีเอกซ์จากอิเลคตรอนซึ่งกำลังเคลื่อนที่เป็นเกลียวรอบสนามแม่เหล็กและถูกเร่งความเร็วภายในซากซูเปอร์โนวา (supernova remnant) ออกจากสัญญาณรังสีเอกซ์ที่เกิดจากมวลสารหรือก๊าซอันหลงเหลือจากการระเบิดถูกเผาจนมีอุณหภูมิสูงมาพอที่เปล่งรังสีเอกซ์ออกมา

รังสีเอกซ์จากอิเลคตรอนดังกล่าวปรากฏเป็นริ้วโค้งสีน้ำเงินบริเวณหน้าคลื่นกระแทกซึ่งอนุภาคกำลังถูกเร่งความเร็วอยู่นั่นเอง ข้อมูลนี้เองที่แปลความได้ว่าอิเลคตรอนบางส่วนถูกเร่งในอัตราที่เข้าใกล้ค่าสูงสุดตามทฤษฎี นอกจากนี้โปรตอนและไอออนซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของรังสีคอสมิคเชื่อว่าย่อมมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับอิเลคตรอน

ริ้วสีน้ำเงินคือบริเวณที่รังสีเอกซ์ถูกแผ่ออกมาจากอิเลคตรอนซึ่งกำลังเคลื่อนที่เป็นเกลียวรอบสนามแม่เหล็ก

และกำลังถูกเร่งความเร็วบริเวณคลื่นกระแทก

Credit: NASA/CXC/MIT/UMass Amherst/M.D.Stage et al

จากเหตุการณ์เดียวกัน ขณะที่พลังงานของรังสีคอสมิคหลังคลื่นกระแทกเพิ่มขึ้น ก็ทำให้สนามแม่เหล็กหลังคลื่นกระแทกถูกเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของคลื่นกระแทกเองด้วย

งานวิจัยนี้นอกจากจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกระบวนการเร่งอนุภาคมีประจุแล้ว ยังช่วยอธิบายวิวัฒนาการของเศษซากจากซูเปอร์โนวาด้วย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการทำความเข้าใจต้นกำเนิดของซูเปอร์โนวา
 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ประวัติศาสตร์ของพลังงานมืด

The History of Dark Energy Goes Way, Way Back

November 21st, 2006

Adapted from: www.space.com

คณะนักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลของนาซา ศึกษาการขยายตัวของเอกภพเมื่อ 9 พันล้านปีก่อน โดยการวัดระยะระหว่างซูเปอร์โนวา 23 แห่ง แล้วพบหลักฐานที่แสดงว่า “พลังงานมืด” (dark energy) มีวิวัฒนาการตลอดประวัติศาสตร์ของเอกภพ
เป็นไปตามการคาดคะเนโดยใช้ทฤษฎี นักวิจัยพบแรงลึกลับซึ่งสามารถต้านความโน้มถ่วง โดยแสดงตัวออกมาด้วยการผลักกาแลกซีให้ออกไปจากกันด้วยความเร่งมานานแล้ว

ซูเปอร์โนวาทั้งห้า ภายในแต่ละกาแลกซี กราฟแสงและความสว่างของซูเปอร์โนวาชนิด 1a

สามารถใช้วัดระยะทางระหว่างโลกกับกาแลกซีเป้าหมายได้

Credit: NASA, ESA, and A. Riess/Space Telescope Science Institute

พลังงานมืดเป็นชนิดพลังงานร้อยละ 70 ของพลังงานทั้งหมดในเอกภพแต่เรากลับมีความรู้เกี่ยวกับ “มัน” น้อยมากเหมือนกับโลกที่มีน้ำปกคลุมพื้นผิวกว่าร้อยละ 70 แต่มนุษย์กลับใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะค้นพบสมบัติของน้ำเป็นครั้งแรก
งานวิจัยก่อนหน้านี้เผยว่าเอกภพยุคแรกประกอบด้วยแรงโน้มถ่วงที่พยายามดึงมวลสารเข้าหาศูนย์กลางและชลอ การขยายตัวของเอกภพ จากนั้นประมาณ 5 ถึง 6 พันล้านปีก่อน เอกภพจึงเริ่มเพิ่มความเร็วในการขยายตัว

ขณะที่เอกภพขยายตัวด้วยแรงผลักของ “พลังงานมืด” (Dark Energy)

นอกจากสสารปกติเอกภพยังมีสสารมืด (Dark Matter) ช่วยต่อต้านการขยายตัวด้วย

Credit: NASA, ESA, and A. Feild (STScI)

การวัดระยะของซูเปอร์โนวาภายในกาแลกซีอื่นๆ นักดาราศาสตร์เลือกใช้ ซูเปอร์โนวาชนิด 1a ซึ่งไม่ว่าเกิด ณ ที่ใดในอวกาศก็จะให้ความสว่างเท่าๆ กัน ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงใช้พวกมันเป็นเปลวเทียนมาตรฐานในการวัดระยะของกาแลกซีที่ซูเปอร์โนวาสังกัดอยู่ แต่เมื่อทศวรรษที่แล้วนักดาราศาสตร์พบว่า ความสว่างของเปลวเทียนมาตรฐานเหล่านี้น้อยกว่าที่คาดคำนวณกันไว้ ทำให้ระยะทางของกาแลกซีที่วัดได้ก่อนหน้านี้ควรจะไกลกว่าที่เคยวัดได้ นั่นหมายความว่าเอกภพขยายตัวด้วยความเร่ง โดยแรงที่ทำหน้าที่ผลักกาแลกซีเหล่านั้นนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “พลังงานมืด”

สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ นักวิจัยสามารถเปรียบเทียบสมบัติระหว่างการระเบิดของดาวฤกษ์โบราณกับดาวฤกษ์ปัจจุบันได้ โดยพบว่าองค์ประกอบทางเคมีภายในซูเปอร์โนวาอายุ 9 พันล้านปี คล้ายคลึงมากกับ ซูเปอร์โนวาในปัจจุบัน ทำให้นักวิจัยมั่นใจได้ว่าความเข้าใจของเราเกี่ยวกับธรรมชาติยังคงใช้ได้อยู่แม้ในอดีตไกลโพ้น นั่นคือการใช้ซูเปอร์โนวาเป็นเครื่องมือศึกษาธรรมชาติของพลังงานมืดยังคงใช้การได้

ตัวอย่างแสดงการผลักและดึงดูดมวลในเอกภพโดย “พลังงานมืด” และ “แรงโน้มถ่วง” ตามลำดับ เมื่อเอกภพอายุมากขึ้น

Credit: NASA, ESA, and A. Riess/Space Telescope Science Institute

ผลสรุปจากงานสำรวจท้องฟ้าชิ้นนี้ชี้ว่า พลังงานมืด แสดงตัว อย่างชัดเจนเมื่อ 9 พันล้านปีก่อน จากนั้นจึงเพิ่มบทบาทต่อการขยายตัวของเอกภพในขณะที่แรงโน้มถ่วงกลับลดความสำคัญลงเนื่องจากระยะห่างระหว่างเทหวัตถุห่างกันมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป จวบจนปัจจุบันเอกภพมีอายุ 13.7 พันล้านปี อย่างไรก็ตามนี่ก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะพิสูจนว่า แท้จริงพลังงานมืดคืออะไรหรือเป็นอะไรกันแน่ บทความรายงาน งานวิจัยชิ้นนี้จะได้รับการตีพิมพ์ใน Astrophysical Journal ฉบับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ศกหน้า

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

เผยโฉมดาวแคระแดงที่ซุ่มซ่อนใกล้ดวงอาทิตย์

Nearby Stars Come Out of Hiding

November 21st, 2006

Adapted from: www.space.com

คณะนักดาราศาสตร์นำโดย Todd Henry จากมหาวิทยาลัยมลรัฐ Georgia สหรัฐอเมริกา ค้นพบระบบดาวฤกษ์ใกล้ระบบสุริยะอีก 20 ดวง ภายในรัศมี 33 ปีแสงจากโลก
ดาวฤกษ์ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด คือระบบดาวฤกษ์สามดวง Alpha Centauri ที่ห่างจากโลก 4.36 ปีแสง ส่วนการค้นพบครั้งนี้มีดาวฤกษ์ที่จัดว่าอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 23 และ 24 รวมอยู่ด้วย

ดาวแคระแดงคือดาวฤกษ์มวลและอุณหภูมิต่ำซึ่งถ่ายเทความร้อนด้วยการพา (convection) ทั้งภายในแกนกลางและเปลือกดาว

Credit:http://www.daviddarling.info/encyclopedia/R/reddwarf.html

ดาวฤกษ์ทั้ง 20 ดวงนี้จัดอยู่ในประเภท “ดาวแคระแดง” (red dwarf) การค้นพบดาวชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเนื่องจากพวกมันเป็นดาวที่มีความสว่างและอุณหภูมิต่ำประมาณ 2500 – 3500 องศาเซลเซียส มีมวลประมาณ 0.1-0.5 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ จัดอยู่ในชนิดสเปคตรัม M หรือ K
แม้ว่าเราจะไม่สามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า แต่ในความเป็นจริงมันมีอยู่ทั่วไปภายในกาแลกซี คิดเป็นร้อยละ 69 ของจำนวนดาวฤกษ์ในกาแลกซีทางช้างเผือก ด้วยเหตุนี้ภายในระยะเวลา 6 ปี ที่ผ่านมา จำนวนดาวฤกษ์ใกล้ดวงอาทิตย์ถูกค้นพบมากขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 16
กลุ่มนักดาราศาสตร์ในนาม Research Consortium on Nearby Stars (RECONS) ทำการสำรวจท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กหลายตัว ณ หอสังเกตการณ์ Cerro Tololo Inter-American Observatory (CTIO) ของ National Science Foundation ภายใน Chilean Andes ตั้งแต่ปี 2542 โดยมีจุดมุ่งหมายทำสำมะโนประชากรดาวฤกษ์ใกล้ระบบสุริยะ และสถิติประชากรของดาวฤกษ์ภายในกาแลกซี อย่างเช่น มวล สถานะทางวิวัฒนาการ ความถี่ของระบบดาวฤกษ์หลายดวง เป็นต้น

กลวิธีพารัลแลกซ์ใช้ได้ดีกับการวัดระยะห่างของเทหวัตถุใกล้โลก อย่างเช่นดาวฤกษ์เพื่อนบ้านเหล่านี้

โดยใช้ภาพปรากฎที่แตกต่างกันเมื่อโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป

Credit: http://www.astrobio.nau.edu/~koerner/ast180/lectures/pic/cdrom/art_high-res/es03/figure-iii-01.jpg

พวกเขาใช้กลวิธีทางดาราศาสตร์ที่เรียกว่า parallax เพื่อวัดระยะระหว่างดาวฤกษ์ โดยใช้การเปลี่ยนตำแหน่งของโลกขณะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละปี และภายในเวลาไม่กี่ปีคณะนักดาราศาสตร์กลุ่มนี้สามารถวัดมุมพารัลแลกซ์ด้วยความแม่นยำประมาณ 2 ใน 1ล้าน ของขนาดปรากฎเชิงมุมของดวงจันทร์วันเพ็ญ

จำลองระบบดาวแคระแดงคู่ SCR 0630-7643 AB ซึ่งห่างจากโลก 28.7 ปีแสง

 Credit: Zina Deretsky/National Science Foundation

รายละเอียดงานวิจัยนี้จะตีพิมพ์เป็นบทความลงในวารสาร Astronomical Journal นอกจากระบบดาวแคระแดง 20 ดวงนี้ ยังรายงานการพบระบบดาวแคระแดงคู่ SCR0630-7643AB ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 28.7 ปีแสง ดาวแคระแดงคู่นี้โคจรรอบกันทุกๆ 50 ปี เป็นอย่างน้อย และห่างจากกันประมาณ 7.9 AU ซึ่งใกล้เคียงกลับระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเสาร์

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ดวงจันทร์กับกิจกรรมทางธรณี

Moon Burps Reveal Volcanic Activity

November 15th, 2006

Adapted from: www.space.com

ด้วยภาพถ่ายและข้อมูลจากโครงการ Apollo ซึ่งเคยส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์แล้วเก็บหิน ดิน บน ผิวบริวารของโลกดวงนี้กลับมาวิเคราะวิจัยบนโลก ขณะนี้ข้อมูลเก่าดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานที่ชี้ว่าก๊าซภูเขาไฟถูกปลดปล่อยออกมาจากผิวดวงจันทร์มาตั้งแต่ 1 ถึง10 ล้านปีก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเชื่อกันว่าดวงจันทร์ไม่เคยมีกิจกรรมทางธรณีวิทยา อย่างเช่น การปะทุของภูเขาไฟมาอย่างน้อย 3 ล้านปี

ภาพมุมใกล้แสดงพื้นที่รูปรอยส้นเท้า หรือรูปตัว D ซึ่งมีขอบคมชัดมาก โดยหลุมภายในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอุกกาบาตพุ่งชน

Credit: Peter H. Schultz, Brown University

คณะนักวิจัยนำโดย Peter Schultz แห่งมหาวิทยาลัย Brown มุ่งความสนใจไปที่บริเวณที่มีรูปร่างคล้ายรอยส้นเท้าหรือนิ้วหัวแม่โป้งซึ่งถูกพบครั้งแรกโดยนักบินอวกาศที่ไปเยือนดวงจันทร์ในภารกิจ Apollo หรือ ณ บริเวณที่ถูกเรียกว่า Ina เนื่องจากผิวดินบน Ina ดูเหมือนว่ามีบางส่วนที่แสดงขอบพื้นที่อย่างคมชัดซึ่งหมายความว่ามันพึ่งูกสร้างมาเมื่อไม่นานนี้ โดยทั่วไปพื้นที่ ซึ่งมีขอบเขตชัดเจนจะอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะตัวขอบจะถูกลบเลือนภายในเวลา 50 ล้านปี

พื้นที่รูปตัวดี(D) Ina หนึ่งในจุดที่พบก๊าซหนีออกมาจากภายในดวงจันทร์

Credit: Peter H. Schultz, Brown University.

เมื่ออุกกาบาตตกลงบนดวงจันทร์ ผลการของการพุ่งชนจะทำให้ผิวดวงจันทร์ถูกกร่อนและความสามารถในการสะท้อนแสงของดินดวงจันทร์ถูกเปลี่ยนไป ได้อนุภาคดินที่เกาะกลุ่มกันใหม่เป็นโครงสร้างหลวมๆ เรียกว่า regolith (blanket Rock) ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถประมาณอายุของดินในบริเวณที่สนใจได้ และจากการวัดอายุของดินบริเวณ Ina นักวิจัยพบว่ามันมีอายุน้อยมากๆ ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการยุบตัวหรือรอยแตก

นักวิจัยคาดว่าก๊าซบนดวงจันทร์อาจกำลังเย็นตัวและอยู่ลึกลงไปภายใน ขณะที่อุณหภูมิภายในกำลังลดลง ก๊าซจำนวนน้อยพยายามรวมตัวกันและหาทางออกมาจากจุดที่เปราะบางพอที่จะหนีออกมาจากภายในดวงจันทร์ได้ โดยเฉพาะบริเวณรอยแตกเก่าแก่

ภาพอุกกาบาตจากดวงจันทร์ (Calcalong Creek) แสดง lunar regolith Credit: Jim Strope.

เราทุกคนเคยเข้าใจว่าดวงจันทร์ปราศจากภูเขาไฟหรือกิจกรรมทางธรณีวิทยา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีก๊าซหลงเหลืออยู่ภายในดวงจันทร์ อย่างไรก็ตามนักวิจัยยังคงไม่มั่นใจว่าก๊าซเหล่านั้นจะร้อนหรือเย็นเพียงใด ดังนั้นการสำรวจ “Ina” และบริเวณที่มีสมบัติทางกายภาพคล้ายๆ กัน ถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนางานวิจัย

รายละเอียดของงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 โดยถือว่าเป็นงานที่สนับสนุนให้มนุษย์หันกลับมาสนใจดวงจันทร์อย่างใกล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง และถือเป็นตัวอย่างของการนำข้อมูลเก่าจากโครงการ Apollo มาปัดฝุ่นและทำให้เกิดคุณค่าอีกครั้งหนึ่ง

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ปริศนาฮีเลียมที่หายไปไขกระจ่างแล้ว

Missing Helium Mystery Solved

November 13th, 2006

Adapted from: www.nasa.gov

เป็นเวลาหลายปีที่นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พยายามไขปริศนาระดับเอกภพที่ว่า “เอกภพมี He 3 (ฮีเลียมเลขมวล 3 อันประกอบไปด้วยโปรตอน 2 และ นิวตรอน 1) น้อยกว่าปริมาณ He 3 ที่ควรจะมีตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ แต่ด้วยแบบจำลองใหม่โดยคณะนักวิทยาศาสตร์นำโดย Peter Eggleton นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จาก Lawrence Livermore National Laboratory ทำให้ พวกเขาทราบว่า He 3 หายไปในดาวฤกษ์ซึ่งควรเป็นโรงงานผลิต He-3 แล้วส่งไอโซโทปธาตุนี้ออกสู่อวกาศนั่นเอง

ลึกเข้าไปในดาวยักษ์แดง มีเมฆไฮโดรเจน(แดง) ลอยอยู่เหนือเปลือกไฮโดรเจนที่กำลังถูกเผา(น้ำเงิน)

Credit: Lawrence Livermore National Laboratory

หลังจากการกำเนิดเอกภพด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ (Big Bang) ก๊าซที่ถูกสร้างขึ้นมากที่สุดภายในเอกภพคือก๊าซไฮโดรเจน นอกจากนี้ยังมี He-4(โปรตอน 2 และ นิวตรอน 2) อีกร้อยละ 10 และ He-3 ร้อยละ 0.001
จากทฤษฎีวิวัฒนาการของดาวฤกษ์เดิม อธิบายว่า ดาวฤกษ์มวลน้อยประมาณ 1 ถึง 2 เท่าของดวงอาทิตย์ ควรจะผลิต He-3 จำนวนมหาศาลแล้วเพิ่มจำนวน He-3 ในเอกภพเป็นร้อยละ 0.01 ทว่าผลจากการสังเกตการณ์กลับวัดปริมาณฮีเลียม 3 (He-3) ในอวกาศได้เพียงร้อยละ 0.001 เท่านั้น

กระจุกของคาร์บอน 13 (สีแดง) ในดาวฤกษ์มวลน้อยซึ่งกำลังถูกยกออกไปหาชั้นบรรยากาศที่มีก๊าซไฮโดรเจน(เขียว)

Credit: Lawrence Livermore National Laboratory

แนวคิดของ Eggleton ที่ได้ชื่อว่า “flimsy ideas” เพื่ออธิบายความไม่ลงรอยระหว่างทฤษฎีกับข้อมูลจากการสังเกตการณ์ การค้นพบครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของโชค เมื่อลูกทีมคนหนึ่งพบคำตอบของ He-3 ที่หายไปขณะกำลังศึกษาทฤษฎี “near explosion” หรือ helium flash ซึ่งเกิดเมื่อดาวฤกษ์เปลี่ยนจากการหลอมนิวเคลียสธาตุไฮโดรเจนไปสู่การหลอมนิวเคลียสธาตุฮีเลียม

พวกเขาอธิบายว่าเมื่อดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ใช้ปฏิกิริยาอุณหปรมณู(thermonuclear reaction) หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนภายในแกนกลางเป็นเวลา 10,000 ล้านปี จนใกล้หมดอายุขัย ดาวดังกล่าวจะขยายตัวเป็นดาวยักษ์แดง(red giant) แล้วเริ่มต้นการหลอมฮีเลียม ดาวฤกษ์ก็จะสูญเสียมวลที่ผิวซึ่งก็คือธาตุเบาที่อยู่บรรยากาศชั้นนอกสุดของตนออกไปในรูปของ “ลมดาวฤกษ์” ซึ่งมวลสารที่ถูกปลดปล่อยออกไปเหล่านั้นก็เต็มไปด้วย He-3 ซึ่งธาตุหนักอย่างคาร์บอน ไนโตรเจน และออกซิเจน ก็ถูกเติมเข้าไปในอวกาศระหว่างดาวด้วยกลไกเดียวกันนี้

ชั้นบรรยากาศของดาวยักษ์แดง แกนกลางคือคาร์บอนและออกซิเจน ส่วนธาตุเบาอย่างไฮโดรเจนหรือฮีเลียมจะอยู่ถัดออกมา

Credit: www.espace-dc.net

ขณะที่คณะนักวิจัยกำลังพัฒนาแบบจำลองนี้ สมาชิกคนหนึ่งพบความไม่เสถียรภายในดาวฤกษ์ ซึ่งดูเหมือนกว่าจะเป็นคำตอบของปัญหาที่ค้างใจนักดาราศาสตร์มานานปี ความไม่เสถียรดังกล่าวทำให้ He-3 ถูกผสมเข้าไปในบรรยากาศชั้นนอกของดาวฤกษ์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ร้อนมากพอที่จะหลอมไอโซโทป He-3 ให้กลายเป็นธาตุหนัก และนี่คือสาเหตุที่ He-3 จำนวนมากหายไป นอกจากนี้ความไม่เสถียรยังสามารถอธิบายว่าเหตุใดดาวฤกษ์เก่าแก่จึงมีปริมาณไอโซโทปคาร์บอน 13 ( C-13) และไนโตรเจน (N-14) มากกว่าที่คาด เช่นเดียวกับ He-3 C-12 และ N-13 ซึ่งอยู่ในผิวดาวก็จะถูกผสมลึกลงไปในดาวฤกษ์ซึ่งเป็นบริเวณที่จะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็น C-13 และ N-14

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

VLA ค้นพบวงแหวนรอบกระจุกกาแลกซี

VLA Discovers Giant Rings Around Galaxy Cluster

November 13th, 2006

Adapted from: www.physorg.com and www.space.com

โครงสร้างคล้ายวงแหวนที่ล้อมรอบกระจุกกาแลกซี(galaxy cluster)ไกลโพ้นอาจเป็นหลักฐานชิ้นแรกสุดของ คลื่นกระแทก(shockwave) จากการชนแล้วหลอมรวมตัวของกระจุกกาแลกซีหรือการชนกันเองของโมเลกุลก๊าซระหว่างดาว

จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ VLA สีแดงคือวงแสงวิทยุที่ถูกค้นพบใหม่ โดยซ้อนภาพในแสงขาวของดาวฤกษ์และกาแลกซี Credit: Science.

คณะนักวิจัยนำโดยนักดาราศาสตร์วิทยุ Joydeep Bagchi ศาสตราจารย์จาก Inter-University Centre for Astronomy and Astrophysics ใช้กล้องโทรทัศน์วิทยุ Very Large Array ใน Socorro มลรัฐนิวเมกซิโก เพื่อเก็บข้อมูลจาก Abell 3376 และพบวงแหวนซึ่งปรากฎตัวในย่านคลื่นวิทยุ ล้อมรอบกระจุกกาแลกซี Abell 3376 แนวโค้งของสัญญาณวิทยุรอบกระจุกคลัสเตอร์เป็นการชี้บอกว่ามีกระแสอนุภาคพลังงานสูงเดินทางออกมาด้วยความเร็วใกล้เคียงแสง

คณะนักดาราศาสตร์กลุ่มดังกล่าวคาดว่าวงแหวนนี้เป็นร่องรอยจากคลื่นกระแทกจากการก่อรูปของเทหวัตถุโครงสร้างใหญ่ดังนั้นมันจึงเป็นสัญลักษณ์บอกเล่าเรื่องราวการก่อตัวของคลัสเตอร์จากกลุ่มเมฆก๊าซหรือการหลอมรวมระดับเอกภพ

ตัวอย่าง Radio relic ในย่านคลื่นวิทยุ Credit: Slee, Roy, Murgia, Andernach & Ehle 2001

วัตถุชนิดนี้มีชื่อในแวดวงดาราศาสตร์ว่า “radio relic” การสังเกตการณ์ตั้งแต่ยุค 70ของศตวรรษที่แล้ว radio relic เกี่ยวพันกับการมีอยู่ของคลื่นกระแทกจากการหลอมรวมกันระหว่างกระจุกกาแลกซี อย่างไรก็ตามการจำลองเหตุการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์ แสดงการรวมตัวกันของกระจุกกาแลกซีที่ปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ แต่ทว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างที่นักดาราศาสตร์ตรวจพบรอบๆ Abell 3376 จึงน่าคิดว่ายังมีสาเหตุการเกิดวงโค้งของกลุ่มอนุภาคที่คลื่นวิทยุอื่นๆ อีกหรือไม่

คำอธิบายปรากฎการณ์นี้อีกแนวคิดหนึ่ง ก็คือคลื่นกระแทกสะสม(accretion shock wave) ที่ก๊าซระหว่างดาว(Interstellar gas) ถูกดึงลงไปสู่กระจุกกาแลกซีด้วยแรงโน้มถ่วง ขณะที่ตกลงไปในกระจุกคลัสเตอร์ โมเลกุลก๊าซก็ชนกันจนร้อนขึ้นและสูญเสียอิเลคตรอนกลายเป็นก๊าซมีประจุเพื่อสร้างคลื่นกระแทกออกมา คลื่นกระแทกชนิดนี้เป็นที่น่าสนใจเนื่องจากมันอาจเป็นต้นกำเนิดของรังสีคอสมิคพลังงานสูงยวดยิ่ง (ultra-high energy cosmic rays)ที่ยังไม่อาจอธิบายได้ว่ามาจากที่ใด

ภาพถ่ายในย่านรังสีเอกซ์ของ Abell 3376 จากกล้องโทรทรรศน์ XMM-Newton ของยุโรป แสดงบริเวณที่มีรูปร่างคล้ายหัวกระสุนในย่านรังสีเอกซ์ ซึ่งออกมาจากก๊าซร้อนอุณหภูมิ 60 ล้าน องศาเคลวิน รูปร่างคล้ายหัวกระสุนดังกล่าวอาจเป็นผลจากการชนของกระจุกกาแลกซีย่อยขนาดเล็กๆ ภายในกระจุกกาแลกซีที่ใหญ่กว่า

CREDIT: Joydeep Bagchi, IUCAA, ESA

ทฤษฎีดังกล่าวจำเป็นต้องมี “สนามแม่เหล็ก” อยู่ขอบนอกของกระจุกกาแลกซีมากกว่าที่จะไปอยู่ตรงใจกลาง จึงจะเอื้ออำนวยต่อการเร่งอนุภาคได้ เพื่องานวิจัยให้คืบหน้าต่อไป Bagchi และคณะกำลังพัฒนากล้องโทรทรรศน์ความไวแสงสูง และอุปกรณ์สำหรับติดตั้งบนยานอวกาศ ซึ่งจะติดไปกับกล้องโทรทรรศน์อวกาศ GLAST (Gamma-ray Large Area Space Telescope) ของนาซา

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ภาพแสงก้องจาก V838 Monocerotis

Latest views of the V838 Monocerotis light echo from Hubble

November 8th, 2006

Adapted from: www.esa.int

ระบบดาวแปรแสง V838 Monocerotis (V838 Mon) ภายในกลุ่มดาวม้าเขาเดียว(Unicorn) ยังคงรักษาความเป็นปริศนาไว้ให้นักดาราศาสตร์ได้ขบคิด นับแต่เมื่อคราวที่มันประทุออกมาเมื่อปี 2545 พร้อมทั้งเปล่งแสงสว่างออกมาประมาณ 600,000 เท่าของดวงอาทิตย์ ทำให้ฝุ่นระหว่างดาวที่อยู่ใกล้ๆ ระบบดาวดังกล่าวเปล่งแสงที่เรียกว่า “แสงก้อง(light echo)” ออกมา

แสงก้องจาก V838 Monocerotis มาถึงกล้องฮับเบิลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548

Credit:NASA, ESA and H. Bond (STScI)

แสงก้องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อแสงหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดเดินทางมาชนกับฝุ่นอวกาศมันจะถูกกระเจิงโดยอนุภาคฝุ่นเหล่านั้น แล้วจึงค่อยเดินทางมายังโลก แสงที่ถูกกระเจิงไปทิศทางอื่นจะใช้ระยะทางเดินทางมายังโลกมากกว่าแสงที่มาจากดาวฤกษ์โดยตรง นั่นก็คือมันก็ใช้เวลามากขึ้นเช่นเดียวกัน ปรากฏการณ์นี้เปรียบได้กับเสียงก้องที่เราได้ยินเมื่อตะโกนเข้าไปในห้องโถงกว้าง เราจะได้ยินเสียงตัวเองก่อน เสียงที่สะท้อนผนังด้านใกล้เราก็สะท้อนมาให้เราได้ยินก่อนเสียงที่ไปสะท้อนยังผนังด้านไกล

วิวัฒนาการของ “แสงก้อง” จาก V838 Mon ภายในกลุ่มดาวม้าเขาเดียว

Credits: NASA, ESA and H. Bond (STScI)

กล้องฮับเบิลกลับไปบันทึกภาพดาวแปรแสง V838 Monocerotis อีกครั้งนับแต่การระเบิดเมื่อปี 2545 เพื่อเฝ้ามองวิวัฒนาการของ light echo จากระบบดาวดังกล่าว ล่าสุดเราได้ภาพถ่ายสองใบที่ให้มุมมองที่น่าสนใจต่อระบบดาวแปรแสงนี้ ด้วยอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพขั้นสูง(Advanced Camera) บนกล้องฮับเบิลทำให้เราได้ ภาพแรกซึ่งถ่ายไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2548 และภาพที่สองพึ่งถ่ายได้เมื่อเดือนกันยายน 2549 ทั้งสองภาพแสดงโครงสร้างคล้ายก้นหอยและลมหมุนภายในฝุ่นระหว่างดาวฤกษ์ซึ่ง

มองเห็นได้บางส่วน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากอิทธิพลของเส้นสนามแม่เหล็กภายในอวกาศระหว่างดาวฤกษ์

แสงก้องจาก V838 Monocerotis ในปี 2545 Credit: NASA, ESA and H.E. Bond (STScI)

การสังเกตการณ์ด้วยกล้องฮับเบิลเพื่อวัดระยะทางของ V838 Mon โดยใช้เทคนิค polarisation ของแสงสะท้อน กล้องฮับเบิลมีแผ่นกรองแสงแบบ polarize ซึ่งยอมให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สั่นในบางทิศทางเข้ามาเท่านั้น ผลที่ได้คือระยะทางประมาณ 20,000 ปีแสง นี่หมายความว่าขณะที่มันประทุ ดาวดวงนี้จะเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในทางช้างเผือกเลยทีเดียว อย่างไรก็ดีสาเหตุที่เกิดการระเบิดนั้นยังคงเป็นปริศนา นักดาราศาสตร์หลายท่านอธิบายว่ามันอาจเกิดจากการชนระหว่างดาวฤกษ์สองดวง

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

กาแลกซีเมฆแมกเจลเลนในสายตาของ AKARI

AKARI's view of Large Magellanic Cloud – star formation at work

November 6th, 2006

Adapted from: www.esa.int

ปฏิบัติการกล้องโทรทรรศน์อวกาศ AKARI อันเกิดจากความร่วมมืดระหว่างองค์การสำรวจด้วยอวกาศยานแห่งญี่ปุ่น (Japan Aerospace Exploration Agency :JAXA) กับองค์การอวกาศยุโรป (ESA) กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของภารกิจถ่ายภาพท้องฟ้าทุกทิศทาง และจากภารกิจดังกล่าวกล้อง AKARI ก็ได้มอบภาพกาแลกซีเมฆของแมกเจลเลนใหญ่( Large Magellanic Cloud : LMC)ในย่านรังสีอินฟราเรด พร้อมทั้งรายละเอียดที่น่าสนใจบางประการ

LMC เป็นกาแลกซีเพื่อนบ้านของทางช้างเผือก อยู่ห่างจากเรา 160,000 ปีแสง (ซึ่งนับว่าใกล้มากเมื่อเทียบกับกาแลกซีอื่นๆ) ภายในกลุ่มดาว Dorado ของท้องฟ้าซีกใต้ กาแลกซีนี้ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 10,000 ล้านดวง หรือประมาณ 1 ใน 10 ของดาวฤกษ์ในทางช้างเผือก เมื่อมองในตอนกลางคืนจะเห็นเหมือนกับเมฆมัวขนาดใหญ่โดยมีเมฆขนาดเล็กที่เรียกว่า Small Magellanic Cloud อยู่ด้วย กาแลกซีเพื่อนบ้านทั้งสองตั้งชื่อตาม Magellan นักเดินเรือในศตวรรษที่ 16 ผู้ค้นพบ “เมฆ” ดังกล่าวในขณะเดินทางสำรวจโลก

กรอบสีแดงคือบริเวณที่ถ่ายภาพในย่าน far-infrared กรอบสีเขียวคือบริเวณที่ถ่ายในย่าน near- และ mid- infrared
Credit:Mr. Motonori Kamiya
 

ภาพถ่าย LMC นี้ ถูกบันทึกในย่านรังสีอินฟราเรดโดยอุปกรณ์ Far-Infrared Surveyor(FIS) ซึ่งติดตั้งบนยาน AKARI ภายในภาพให้รายละเอียดของการกระจาย มวลสารทั้งฝุ่นและก๊าซภายในกาแลกซี เกล็ดฝุ่นภายในเมฆระหว่างดาวจะถูกแผดเผาโดยแสงดาวฤกษ์เกิดใหม่ พร้อมกันนั้นก็จะแผ่พลังงานออกมาในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านรังสีอินฟราเรด(ตามอุณหภูมิของมัน) ดังนั้นการแผ่รังสีอินฟราเรดนี้จะช่วยบ่งชี้ว่ามีดาวฤกษ์เกิดใหม่อยู่ ณ บริเวณใดบ้าง

ภาพกาแลกซีเมฆของแมกเจลเลนใหญ่ ซึ่งได้จากการรวมภาพถ่ายในย่านรังสีอินฟราเรดความยาวคลื่น 60, 90 และ 140 ไมโครเมตร

มีเนบิวลา Tarantula อยู่ทางซ้ายล่าง ภายในพื้นที่ท้องฟ้า 17,000 x 17,000 ปีแสง

Credit: JAXA

ธรรมชาติของ LMC ถูกเปิดเผยโดยการกระจายตัวของมวลสารระหว่างดาวและดาวฤกษ์ บริเวณกลุ่มมวลสารรูปร่างคล้ายจานที่ซึ่งดาวฤกษ์จำนวนมากรวมกันอยู่ภายในโครงสร้างคล้าย “กระสวย” ในครึ่งล่างของภาพ แสดงให้เห็นว่ามีกลุ่มสสารถูกแยกออกมาจาก LMC อย่างน้อยสองกลุ่ม นักดาราศาสตร์เชื่อว่าอาจเป็นอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงของ LMC เอง กับทางช้างเผือก ส่วนบริเวณสว่างๆ ด้านซ้ายล่างของภาพคือเนบิวลา Tarantula ซึ่งเปรียบได้เป็นโรงงานผลิตดาวฤกษ์ได้เลยทีเดียว

ภาพในช่วงคลื่น near- and mid-infrared (3 , 7 และ 11 ไมโครเมตร) แสดงส่วนประกอบของ LMC จุดขาวๆ ในภาพคือดาวฤกษ์อายุมากภายในกาแลกซีดังกล่าว Credit: JAXA

ภาพที่สองถ่ายในช่วงรังสีอินฟราเรด ทั้งช่วงใกล้ย่ายแสงขาว และช่วงกลาง (near- and mid-infrared wavelengths) โดยกล้องถ่ายภาพอินฟราเรด (Infrared Camera : IRC) แสดงภาพมุมใกล้บางส่วนของ Large Magellanic Cloud ภาพนี้แสดงดาวฤกษ์อายุมากจำนวนมากซึ่งปรากฎตัวเป็นจุดสีขาว พร้อมทั้งเมฆก๊าซระหว่างดาว ที่ช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถศึกษาวิธีการที่ดาวจะหมุนเวียนก๊าซที่เป็นองค์ประกอบของดาวกลับสู่ความเป็นสสารระหว่างดาวในบั้นปลายของชีวิต ทั้งหมดนี้คือข้อมูลใหม่ล่าสุดจากยานอวกาศ AKARI ซึ่งจะช่วยปลดล๊อกกล่องแห่งความลับของการกำเนิดและวิวัฒนาการของกาแลกซีเมฆของแมกเจลเลนใหญ่และกาแลกซีทางช้างเผือกของเราเอง
 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ดาวยูเรนัสก็มีจุดมืด

Uranus Has a Dark Spot

November 3rd, 2006

Adapted from: www.space.com

ภาพดาวยูเรนัสเผยจุดมืดจุดแรกบนซีกเหนือของดาวเคราะห์    ทศวรรษที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์เฝ้าสังเกตการณ์ดาวยูเรนัสแล้วพบจุดสว่างหลายจุด ทั้งในย่านแสงสีแดงและอินฟราเรด แต่ล่าสุดทีมนักดาราศาสตร์นำโดย Lawrence Sromovsky แห่งมหาวิทยาลัย Wisconsin รวมถึง Kathy Rages จากสถาบัน SETI , Heidi Hammel แห่งสถาบัน Space Science และ Patrick Fry แห่งมหาวิทยาลัย Wisconsin ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลสำรวจพบจุดมืดบนดาวยูเรนัส เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2549 จากนั้นในวันถัดมาพวกเขาก็พบจุดมืดอีกบริเวณใกล้ขอบดวง ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่าจุดมืดมี “ช่วงชีวิต” อย่างน้อยๆ ก็เป็นวันๆ ด้าน Mark Showalter และคณะ จากสถาบัน SETIก็ใช้กล้องฮับเบิลสำรวจวงแหวนและบริวารของดาวเคราะห์ดวงนี้ แล้วได้รูปที่ถ่ายเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ก็มีจุดมืด ซึ่งเป็นเวลา2 เดือน ที่กลุ่มของ Lawrence จะค้นพบ นี่หมายความว่าจุดมืดบนดาวยูเรนัสจุดนี้มีช่วงชีวิตอย่างน้อย 2 เดือน

เมื่อปี 2532 ยาน Voyager 2 ถ่ายภาพนี้มาจากดาวเนปจูน ในภาพแสดงเมฆรูปไข่สี่แห่ง

โดยเมฆสีมืดๆ อยู่ทางขอบซ้ายของดาวและโคจรรอบดาวยูเรนัสทุกๆ 8 ชั่วโมง

Credit:NASA/JPL

ผลการสังเกตการณ์ของ Lawrence ชี้ว่ามีจุดสว่างอยู่ทางด้านเหนือของจุดมืด เช่นเดียวกับภาพถ่ายจากยาน Voyager ที่พบจุดมืดใหญ่บนดาวเนปจูน (Neptune's Great Dark Spot) อยู่คู่กับจุดสว่าง นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับด้านเหนือของดาวยูเรนัสที่กำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิหลังจากช่วงฤดูหนาวอันมืดมิดนานนับหลายทศวรรษ
จุดสว่างบนยูเรนัสอยู่ที่ละติจูด 30 องศาเหนือซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่เคยพบจุดสว่างครั้งก่อนหลายต่อหลายครั้ง และดูเหมือนว่าจุดสว่างจะไม่เชื่อมต่อกับจุดมืด และบางทีอาจจะแค่เคลื่อนผ่านกันไปเท่านั้น

แกนหมุนของยูเรนัส(เส้นตรงสีเหลือง) เอียงทำมุมเกือบขนานกับระนาบวงโคจร ทำให้ดาวยูเรนัสดูเหมือนจะกลิ้งไปรอบๆ ดวงอาทิตย์

Credit :http://www.physics.hku.hk/~nature/CD/regular_e/lectures/images/chap09/uranus_orbit.jpg

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่มีแกนหมุนเอียงถึง 98 องศา ทำให้ดูเหมือนว่ามันกลิ้งไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ ดังนั้นหนึ่งวันบนดาวยูเรนัสจึงเท่ากับหนึ่งปีของตัวมันเองซึ่งใช้เวลาประมาณ 85 ปี ของโลก และในช่วงนี้ดาวยูเรนัสกำลังจะหันขั้วเหนือซึ่งตกอยู่ภายใต้เงามืดมานาน เข้าหาดวงอาทิตย์เสียที

ลมหมุนและหมู่เมฆในชั้นบรรยากาศของยูเรนัส ทำให้เกิดกระแสหลุมหมุนสีดำขนาดใหญ่ประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา

Credit: NASA, ESA, L. Sromovsky and P. Fry / University of Wisconsin

แต่เดิม สิ่งที่พบบนดาวยูเรนัสก็คือจุดสว่างเล็กๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับพายุฝนในบรรยากาศชั้นสูงของยูเรนัส ส่วนจุดมืดที่ค้นพบใหม่นี้อาจเกิดจากการที่ชั้นเมฆมีเทนชั้นที่ต่ำลงไปบางลงๆ

สำหรับเป้าหมายในวันข้างหน้าเมื่อยูเรนัสผ่านตำแหน่ง equinox ไปแล้วจะถือว่าขั้วเหนือเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มตัว มีแสงดวงอาทิตย์ส่องเป็นเวลานานนับ 20 ปี นับเป็นโอกาสอันดีที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินจะสังเกตการณ์ดาวเคราะห์ดวงนี้ และจะติดตามความแปรเปลี่ยนหรือวิวัฒนาการของจุดมืดดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทีมนักวิจัยทีมดังกล่าวหวังว่าจะได้ศึกษาจุดสว่างบนขั้วเหนือว่าจะแตกต่างหรือคล้ายคลึงกับจุดสว่างที่ขั้วใต้อย่างไรบ้าง

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ดาวฤกษ์ระเบิดอย่างมีแบบแผน

Star Explosion is Surprisingly Neat & Tidy

November 1st, 2006

Adapted from: www.space.com

นักวิทยาศาสตร์เผย ดาวฤกษ์ที่ระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา ไม่ได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างไร้ระเบียบ แต่กระจายมวลสารของมันออกมาอย่างมีแบบแผน Jessica Ennis แห่งมหาวิทยาลัยมิเนโซตา และทีมวิจัยทำการศึกษาซากซูเปอร์โนวา (supernova remnant) Cassiopeia A (Cas A) ซึ่งอยู่ภายในกาแลกซีทางช้างเผือก ห่างจากโลก 10,000 ปีแสง ภายในกลุ่มดาว Cassiopeia โดยขณะที่มันเป็นดาวฤกษ์มีมวลถึง 15 ถึง 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ และเช่นเดียวกับดาวฤกษ์มวลมากทั้งหลาย ดาวฤกษ์เดิมของCas A ครั้งหนึ่งเป็นดาวที่มีโครงสร้างเป็นระเบียบแบบแผน ประกอบด้วยชั้นของธาตุต่างๆ โดยชั้นนอกสุดเป็นธาตุเบาอย่างไฮโดรเจน ชั้นกลางเป็นธาตุหนักอย่างเช่น นีออน ส่วนแกนกลางของดาวเป็นธาตุที่หนักที่สุดอย่างเช่น เหล็ก เปรียบได้กับชั้นต่างๆ ของหัวหอม

มวลสารรอบๆ Cassiopeia A ถูกทำให้ร้อนโดย forward shock wave(สีน้ำเงิน) ส่วนมวลสารที่ปรากฎในรูปเป็นสีเขียว

เหลือง และแดง ถูกทำให้ร้อนโดย reverse wave Credit : NASA/JPL-Caltech/Univ. Of Minn

ตราบจนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอะไรเกิดขึ้นขณะที่ดาวฤกษ์ระเบิด ประเด็นหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็คือดาวฤกษ์ระเบิดอย่างมีหรือไม่มีแบบแผนกันแน่ และถ้าหากแต่ละชั้นของดาวกระจัดกระจายออกมาอย่างมีรูปแบบ แต่ละชั้นก็ควรจะสังเกตเห็นได้ภายในเศษซากดาวที่กำลังขยายตัวออกมา ทว่าผลการสังเกตการณ์กลับได้ข้อมูลเพียงบางส่วนของบางชั้นเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่สามารถสังเกตได้

ไดอะแกรมแสดงส่วนประกอบของซูเปอร์โนวาคลื่นกระแทกแบบ forward shock ซึ่งเคลื่อนที่ออก และ reverse shock ซึ่งเคลื่อนที่เข้า Credit:http://cosmos.swin.edu.au/lookup.html?e=supernovaremnant

กล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ทำหน้าที่ศึกษาเอกภพในย่านรังสีอินฟราเรดอย่างกล้อง Spitzer จะช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เมื่อดาวฤกษ์มวลมากระเบิดมันจะสร้างคลื่นกระแทก(shock wave) ออกมาสองชนิด อย่างแรกคือ forward shock wave ซึ่งเคลื่อนที่ออกมาด้วยความเร็วสูง อย่างในกรณีของ Cas A คลื่นกระแทกชนิดดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเหนือเสียง 7,400 กิโลเมตรต่อวินาที เมื่อ forward wave ชนกับมวลสารที่ถูกผลักออกมาจากการระเบิด ก็จะเกิด reverse shock wave ตามหลัง forward shock wave ด้วยอัตราเร็วต่ำกว่าเล็กน้อย สสารที่ถูกสาดกระจายออกมาเร็วกว่าจะชนกับคลื่นกระแทกก่อนทำให้มีเวลามากพอที่จะร้อนขึ้นจนสามารถเปล่งรังสีเอกซ์และแสงที่ตามนุษย์มองเห็น ส่วนที่เหลือจะชนกับคลื่นกระแทกภายหลังดังนั้นมันจึงเย็นกว่าและแผ่รังสีอินฟราเรด ซึ่งไม่สามารถสังเกตได้หากไม่ใช้กล้องสปิตเซอร์ สสารส่วนที่ตามหลังมาประกอบก๊าซและฝุ่นที่ประกอบด้วยธาตุนีออน ออกซิเจน และอลูมิเนียม อันเป็นธาตุที่อยู่ในชั้นกลางของดาวฤกษ์เดิม

ก่อนจะระเบิด Cassiopeia A มีชั้นของธาตุต่างๆ ราวกับหัวหอม โดยธาตุหนักอยู่ที่แกนกลางและธาตุที่เบาที่สุดอยู่ที่ผิวดาว

และเมื่อดาวฤกษ์ระเบิดธาตุต่างๆ ก็ขยายตัวออกมาเป็นชั้นๆ เช่นกัน Credit: NASA/JPL-Caltech

สิ่งนี้หมายความว่าในการระเบิดตัวเองเป็นซูเปอร์โนวานั้น สสารแต่ละชั้นของดาวจะขยายตัวออกมาเป็นชั้นๆ โดยชั้นนอกสุดจะออกมาก่อนแล้วตามด้วยชั้นลึกลงไปตามลำดับ ซูเปอร์โนวาจึงถือได้ว่าเป็นการระเบิดอย่างมีแบบแผน

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------