เดือนตุลาคม  2550

October  2007

 

 

มุมมองใหม่ต่อระบบดาวพลูโต

New Portrait Made of Pluto and its Moons By SPACE.com Staff

 

October 31th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

ภาพถ่ายชุดใหม่ของดาวพลูโต(Pluto)และดวงจันทร์บริวาร เป็นภาพที่คมชัดที่สุดเท่าที่เคยถ่ายได้
พลูโต เคยถูกจัดอยู่ในกลุ่มดาวเคราะห์(planet) แต่ตอนนี้กลายเป็นดาวเคราะห์แคระ(dwarf planet) มาตั้งแต่ปีกลาย โดยสมาพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ(International Astronomical Union)

 

ดาวพลูโต(ซ้ายมือ) และ ชารอน(ขวามือ) จากกล้องโทรทรรศน์ Keck เกาะฮาวาย

Credit: David Tholen

 

ดาวพลูโตอยู่ไกลเกินไปจนภาพถ่ายที่เคยถ่ายได้ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยคมชัด แต่สำหรับภาพใหม่ทั้ง 20 ภาพ สว่างสดใสกว่าภาพเมื่อ 30 ปีก่อน เมื่อครั้งที่ดวงจันทร์ชารอน(Charon) พึ่งถูกค้นพบ ซึ่งการที่ภาพชัดเจนขึ้นย่อมทำให้การประมาณขนาดของดวงจันทร์บริวารของดาวพลูโตทั้งสาม นิกซ์(Nix) ไฮดรา(Hydra) และ ชารอน(Charon) ได้แม่นยำยึ่งขึ้น                                                                                                   “ปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน มีผลต่อภาพถ่ายระบบดาวพลูโตอันน่าระทึกใจนี้” David Tholen นักดาราศาสตร์ ผู้ติดตามถ่ายภาพระบบดาวพลูโตโดยใช้กล้องโทรทรรศน์คู่แฝด Keck ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา Mauna Kea หมู่เกาะฮาวาย

 

 

ดวงจันทร์ Nix(ซ้าย) กับดวงจันทร์ Hydra (ขวา) จากกล้องโทรทรรศน์ Keck เกาะฮาวาย

ดวงจันทร์ทั้งสองอับแสงกว่าดาวพลูโต 5000 เท่า ดังนั้น ดาวพลูโตกับชารอน จึงไม่อยู่ในภาพนี้

Credit: David Tholen

 

Tholen ใช้ระบบปรับแต่งแสง(adaptive optics system) ติดตั้งเข้ากับกล้องโทรทรรศน์ Keck เพื่อแก้ไขผลของความปั่นป่วนภายในชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งทำให้ภาพเทหวัตถุที่ถ่ายได้ไม่คมชัด(blur) นอกเหนือจากนี้ดาวพลูโต(Pluto) ยังอยู่ในตำแหน่งที่มันสว่างที่สุดภายในคืนนั้น และทำให้ระบบปรับแต่งแสงต้องทำงานเหมือนกำลังถ่ายภาพดาวฤกษ์ เขาถ่ายภาพ 16 ภาพของระบบดาวพลูโตและรวมให้เป็นภาพถ่ายภาพเดียว ผลที่ได้คือภาพถ่ายที่คมชัดของดวงจันทร์นิกซ์ กับไฮดรา ซึ่งพึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 2548 โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล
Tholen อธิบายว่า “มันเป็นความสนใจของเราที่จะถ่ายภาพเทหวัตถุในระบบดาวพลูโตให้ได้จำนวนมากๆ ด้วยความหวังว่าจะได้คุณภาพเท่าๆ กัน ซึ่งจะทำให้เราตามติดการโคจรรอบดาวพลูโตจนครบรอบของดวงจันทร์ นิกซ์ กับไฮดรา ภาพถ่ายที่คมชัดเหล่านี้จะแสดงตำแหน่งดวงจันทร์บริวารที่แม่นยำ ช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถตรวจวัดการเคลื่อนที่แม้เพียงเล็กน้อยอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อกันและกัน อันนำไปสู่การคำนวณมวลของดวงจันทร์นิกซ์และไฮดราได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

ระบบดาวพลูโตโดยกล้องโทรทรรศน์ Keck เกาะฮาวาย เนื่องจากทั้งระบบเคลื่อนที่เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ด้านหลัง

จึงทำให้เกิดเส้นอันเนื่องมาจากดาวฤกษ์เคลื่อนที่ เมื่อกำหนดให้กล้องโทรทรรศน์ตามติดการเคลื่อนที่ของระบบดาวพลูโตเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง Credit: David Tholen

 

นักดาราศาสตร์คำนวณขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ทั้งสองไว้ว่าไม่น่าจะใหญ่กว่า 100 กิโลเมตร ขณะที่ดวงจันทร์ชารอนและดาวพลูโตมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,212 กิโลเมตร และ 2,300 กิโลเมตร ตามลำดับ                                                                                การวัดมวลและขนาดที่แม่นยำยิ่งขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อภารกิจสำรวจระบบดาวพลูโตในปี 2558 โดยยานอวกาศ New Horizon ตัวอย่างเช่นการเลือกเวลาเปิดปิดหน้ากล้องถ่ายภาพที่ติดตั้งบนยาน New Horizon ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของดวงจันทร์ ตลอดจนดรรชนีสะท้อนแสงของผิวดวงจันทร์ด้วย เพื่อให้ได้ภาพที่ไม่สว่างจ้าจนเกินไปหรือมืดคล้ำอันเนื่องมาจากการใช้เวลาเปิดปิดหน้ากล้องนานหรือสั้นเกินไปตามลำดับ

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ไขปริศนาชั้นบรรยากาศดวงจันทร์ไอโอ

Mystery of Io's Atmosphere Solved

 

October 31th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

ดวงจันทร์ไอโอ (Io) บริวารของดาวพฤหัสบดี จัดเป็นเทหวัตถุที่มีพื้นผิวอุดมไปด้วยภูเขาไฟ แต่กลับมีชั้นบรรยากาศอันเบาบางห่มคลุม จำนวนภูเขาไฟและปริมาณก๊าซอที่อยู่ภายในชั้นบรรยากาศของดวงจันทร์เป็นปริศนาให้นักวิทยาศาสตร์ได้ขบคิดมาหลายทศวรรษ แต่ด้วยยานอวกาศ New Horizons ที่พบแสงออโรรา(aurora) ของดวงจันทร์ดวงนี้ ได้เปิดโอกาสแก่นักวิทยาศาสตร์ในการไขปริศนาข้างต้น

 

ดวงจันทร์ไอโอจากยานกาลิเลโอ

Credit: The Galileo Project, JPL, NASA

 

ไอโอ(Io) เป็นเทหวัตถุที่เกิดปรากฎการณ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟมากที่สุดในระบบสุริยะ จุดแต้มหลากสีสันของดวงจันทร์ดวงนี้ปรากฎดูคล้ายหน้าพิซซาเปปเปอร์โรนี (pepperoni pizza) และเพราะมีภูเขาไฟที่เป็นแหล่งกำเนิดสสารที่ทำให้ชั้นบรรยากาศของมันอุดมไปด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์(sulfur dioxide) แต่ผลผลิตที่เกี่ยวข้องกับเถ้าถ่านที่ถูกพ่นออกมาจากภูเขาไฟและการระเหิดของวัสดุน้ำแข็งบริเวณพวยเถ้าถ่านยังคงเป็นปริศนาคาใจนักวิทยาศาสตร์   มาเกือบ 30 ปี

 

ภาพดวงจันทร์ไอโอ บริวารดาวพฤหัสบดี พวยก๊าซยาวนับร้อยกิโลเมตที่ถูกพ่นออกมาจากภูเขาไฟประกอบด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์

เหตุการณ์นี้เป็นการเติมปริมาณก๊าซเข้าสู่ชั้นบรรยากาศดวงจันทร์ แต่สุดท้ายก๊าซก็จะถูกแช่แข็งแล้วตกกลับลงมาที่พื้นผิวดาว

 Credit: NASA/Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory/Southwest Research Institute

 

ภูเขาไฟของดวงจันทร์ไอโอ ปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือก๊าซที่มีกลิ่นเหม็นซึ่งออกมาขณะจุดไม้ขีดไฟให้ลุกไหม้ และเป็นก๊าซส่วนใหญ่ที่พบในชั้นบรรยากาศของดวงจันทร์ไอโอ ขณะที่ไอโอหมุนจากกลางวันไปสู่กลางคืน ด้านมืดของก้อนหินสีเหลืองเย็นยะเยือกก้อนนี้จะลดอุณหภูมิลงเหลือเพียง -143 องศาเซลเซียส ทำให้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ถูกแช่แข็งจนเป็นของแข็งคล้ายน้ำแข็งแห้งหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง ดังนั้นชั้นบรรยากาศของไอโอจึงบางลงแล้วหลงเหลือที่ว่างให้ภูเขาไฟได้ปลดปล่อยก๊าซเพื่อเติมเต็มส่วนที่ว่าง                                                                                                                  เนื่องจากก๊าซจากภูเขาไฟของไอโอในช่วงที่ยังมีอุณหภูมิสูง จะก่อให้เกิดแสงเรืองคล้ายออโรรา(aurora) บนโลก นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถคำนวณได้ว่าภูเขาไฟบนไอโอเติมก๊าซหรือวัสดุเข้าไปในชั้นบรรยากาศได้ด้วยการวัดความเข้มแสงออโรรา ที่อยู่ด้านกลางคืนของไอโอ โดยใช้ยานอวกาศ New Horizon ที่ติดตั้ง          อุปกรณ์สเปคโทรกราฟย่านรังสีอัลตราไวโอเลตที่ชื่อว่า อลิซ(Alice) เพื่อถ่ายภาพแสงออโรร่าของไอโอในขณะที่อยู่ในเส้นทางสู่ดาวพลูโต ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่   คาดว่าจะไปถึงในปี 2558

 

ภาพถ่ายจากย่านรังสีอัลตราไวโอเลต โดยอุปกรณ์ถ่ายภาพสเปคโตทราฟรังสีอัลตราไวโอเลต Alice แสดงด้านกลางคืนของดวงจันทร์ไอโอ

 ที่ซึ่งก๊าซจากภูเขาไฟทำให้เกิดแสงออโรราบริเวณศูนย์สูตรของดวงจันทร์

Credit: NASA/Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory/Southwest Research Institute

 

คณะนักวิทยาศาสตร์พบว่าชั้นบรรยากาศด้านกลางวันของดวงจันทร์ไอโอ ประมาณร้อยละ 1/ 3 ถูกสร้างขึ้นจากก๊าซจากภูเขาไฟ ที่เหลือเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์  แช่แข็งที่เปลี่ยนสถานะจากก๊าซไปเป็นของแข็งชั่วกัปชั่วกัลย์ และสะสมพอกพูนอยู่บนผิวดวงจันทร์นั่นเอง

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

 

น้ำพุจากรอยแยกบนดวงจันทร์ดาวเสาร์

Geysers Gush from Cracks in Saturn's Moon By Ker Than

 

October 31th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Nature ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน น้ำพุหิมะบนดวงจันทร์ Enceladus ของดาวเสาร์ ประทุขึ้นมาจากกลุ่มรอยแยกรอยๆ จุดร้อน(hot spot) บริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ นี่เป็นงานวิจัยแรกที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างร่องรอยคล้ายลายเสือและน้ำพุหิมะ

 

ภาพจากยานอวกาศคาสสินีแสดงฝุ่นน้ำแข็งขนาดเล็กละเอียดที่ถูกพ่นออกมาจากบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ Enceladus

 credit: Cassini Imaging Team and NASA/JPL/SSI

 

ด้วยยานอวกาศคาสสินี(Cassini) ขององค์การบริหารการบินอวกาศ(NASA) นักวิจัยสามารถบันทึกตำแหน่งของน้ำพุหิมะบนดวงจันทร์ Enceladus ได้ตั้งแต่สองปีก่อน พวกเขาพบว่าวัสดุต่างๆ ที่ถูก่อนออกมา มาจากบริเวณจุดร้อน(hot spots) ที่แผ่ไปตามรอยแยกทั้งสี่บนผิวดวงจันทร์ที่ดูคล้ายลายเสือ(tiger stripe) ซึ่งได้แก่รอยแยก Alexandria, Cairo, Baghdad และ Damascus ชื่อเล่นทั้งสี่มาจากข้อตกลงภายในโครงการ Voyager ที่ต้องการระบุชื่อร่องรอยบนพื้นผิวเทหวัตถุบริวารของดาวเสาร์ตามนิยายปรัมปราและมหากาพย์ของโลก รอยแยกบนผิวดวงจันทร์ Enceladus ถูกตั้งชื่อตามเมืองภายในนิยายอาหรับ(Arabian story) ชุด “หนึ่งพันทิวาราตรี” (One Thousand Days and One Nights)

งานวิจัยนี้ยังแสดงการจำลองเหตุการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์โดยอาศัยเงื่อนไขที่ได้จากการสังเกตการณ์ เพื่อจำลองกลไกที่เกิดขึ้นเบื้องหลังน้ำพุวัสดุ ซึ่งจะสามารถช่วยคาดการณ์ได้ว่ามีมหาสมุทรของเหลวขนาดใหญ่ที่อาจมีสิ่งมีชีวิต อยู่ภายใต้เปลือกน้ำแข็งของดวงจันทร์ Enceladus         กิจกรรมทางธรณีวิทยา(geologically active) บนดวงจันทร์ Enceladus ได้รับการยืนยันเมื่อสองปีก่อน เมื่อกล้องถ่ายภาพรังสีอินฟราเรดซึ่งติดตั้งบนยานอวกาศคาสสินีตรวจพบจุดร้อนผิดปกติบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์น้ำแข็งดวงนี้ พบเส้นสายสีน้ำเงินบนฟิวดวงจันทร์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นหุบเหวลึกที่กำลังพ่นของผสมระหว่าง น้ำในสถานะของเหลว น้ำแข็ง และของผสมสารอินทรีย์ ออกสู่อวกาศ

 

บริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ Enceladus มีจุดร้อน พร้อมทั้งรอยแยกของแผ่นน้ำแข็ง

source : http://www.spaceref.com/news/viewpr.html?pid=19977

 

ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์คิดว่าสิ่งที่ดวงจันทร์ Enceladus พ่นออกมาจะทำให้เกิดวงแหวนของดาวเสาร์ชั้น E-ring และเมื่อดวงจันทร์ดวงอื่นๆ ของ   ดาวเสาร์โคจรผ่านเข้าไปในวงแหวนนี้ พวกมันจะถูกเคลือบด้วยสสารจาก Enceladus ซึ่งช่วยให้สะท้อนแสงได้ดีขึ้น จนดวงจันทรเหล่านั้นสว่าง     ผิดปกติ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สร้างทฤษฎีเพื่ออธิบายน้ำพุเหล่านี้ว่าอาจเกิดจากการบดเบียดกันของแผ่นน้ำแข็ง กับการเปิดและปิดอย่างเป็นคาบของช่องว่างบนผิวดวงจันทร์ กลไกทั้งสองถูกคาดว่าเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการให้ความร้อนจากแรงไทดัล(tidal heating) เนื่องจากดวงจันทร์ Enceladus โคจรรอบดาวเสาร์เป็นวงรี ดังนั้นแรงโน้มถ่วงจากดาวเสาร์ที่ดึงดูด Enceladus ณ แต่ละจุดบนเส้นทางโคจรย่อมแตกต่างกัน ทำให้ผิวดวงจันทร์โป่งพองขึ้นหรือยุบลงแตกต่างกันไปตามระยะทางที่ไม่เท่ากันตลอดวงโคจรด้วย การเคลื่อนที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของผิวน้ำแข็งเหล่านี้ก่อให้เกิดแรงเสียดทานและความร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่านี่เป็นกลไกควบคุมการเปิดและปิดของช่องว่างระหว่างแผ่นน้ำแข็ง                                 ผลงานนี้ยังสอดคล้องกับกลไกการเกิดน้ำพุร้อน ยกเว้นแต่น้ำพุบริเวณรอยแยกแบกแดด (Baghdad) เนื่องจากไม่พบการให้ความร้อนใดๆ บริเวณดังกล่าว

ทฤษฎีในอนาคตจะต้องรวมกิจกรรมทางธรณีวิทยาบริเวณรอยแยกแบกแดด (Baghdad) ไว้ด้วย ความแตกต่างดังกล่าวหมายความว่าใครก็ตามที่ทำงานเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้จำเป็นต้องไปและดูด้วยตา ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถปรับแต่งค่าตัวแปรเสริมใดๆ เมื่อทำให้ผลการจำลองสอดคล้องกับผลการสังเกตการณ์

 

ภาพจำลองแสดงการพ่นไอน้ำหรือฝุ่นน้ำแข็งออกมาจากรอยแยกของแผ่นน้ำแข็งดวงจันทร์ Enceladus

โดยความร้อนจากการบดเบียดกันของแผ่นน้ำแข็งดังกล่าว

Credit: NASA/JPL

Enceladus เป็นหนึ่งในเทหวัตถุเพียงไม่กี่ดวงภายในระบบสุริยะที่รู้กันว่ามีกิจกรรมทางธรณีวิทยา และการเดินทางไปที่นั่นจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับชีววิทยาดาราศาสตร์(astrobiology)ได้                                                                                                                                      แม้ว่าดาวอังคารจะถูกคาดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตมานานแล้ว แต่แม้ว่าบรรดาผู้ศึกษาดาวอังคารต่างบอกว่าไม่มีสิ่งมีชิวิตที่กำลังอาศัยอยู่บนดาวอังคาร    จนกว่าจะเดินทางไปที่ขั้วดาวอังคารทั้งสอง นักวิทยาศาสตร์คิดว่า Enceladus คล้ายกับดวงจันทร์ยูโรปา(Europa) ของดาวพฤหัสบดี คู่แข่งสำคัญ  ที่นักวิทยาศาสตร์จับตาว่าจะเป็นพิภพที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชิวต เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตล้วนถูกยืนยันว่ามีบนดวงจันทร์ Enceladus พวกเขาทำการศึกษาวัสดุที่พวยพุ่งออกมา พบการมีอยู่ของสารอินทรีย์ พบความร้อนที่เข้าไปในกลไกที่ทำให้เกิดพุวัสดุ คำถามที่ยังมีอยู่ก็เพียงพุวัสดุเหล่านี้แปรเปลี่ยนโดยตรงมาจากน้ำในสถานะของเหลวหรือไม่

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ยืนยันแหล่งกำเนิดรังสีคอสมิค

Origin of Cosmic Rays Confirmed

 

October 16th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

รังสีคอสมิค(cosmic ray)ที่พุ่งเข้าหาโลกอย่างสม่ำเสมอนั้น มีขนาดเล็กแต่ก็เป็นอนุภาคพลังงานสูงยิ่งยวดที่เดินทางผ่านอวกาศมาด้วยความเร็ว เข้าใกล้แสง ทว่าแหล่งกำเนิดของพวกมันยังคงเป็นปริศนาท้าทายนักวิทยาศาสตร์มานานเกือบ 100 ปี แต่งานวิจัยใหม่ชิ้นหนึ่งกำลังจะพาปริศนานี้ก้าวเข้าไปใกล้คำตอบอีกก้าวหนึ่งแล้ว

ผลการสังเกตการณ์แหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์แบบเป็นคาบ(pulsating X-ray hot spot) เปิดเผยว่า ซากซูเปอร์โนวา(supernova remnant) อันเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการระเบิดตัวเองของดาวฤกษ์มวลมหาศาล กลับมีสนามแม่เหล็กที่เข้มข้นกว่าที่เคยคาดคิด นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าหลักฐานที่ค้นพบโดยตรงนี้ช่วยสนับสนุนว่าภายในซากซูเปอร์โนวามีสนามแม่เหล็กที่เข้มข้นพอที่จะเร่งอนุภาคภายในอวกาศให้มีพลังงานสูงขึ้นจนกลายเป็นรังสี คอสมิค

 

ภาพบริเวณของของ RXJ1713.7-3946 จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอกซ์จันทราของนาซา ทางด้านขวาแสดงแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ที่สว่างและหายไป การสว่างและดับลงอย่างรวดเร็วนี้แสดงว่ามีอิเลคตรอนกำลังถูกเร่งความเร็วจนเข้าใกล้ความเร็วแสง ภายในสนามแม่เหล็กที่เข้มข้น Credit: CXC/Yasunobu Uchiyama/HESS/Nature

 

Yasunobu Uchiyama นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งองค์การสำรวจบรรยากาศและอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace Exploration Agency ; JAXA) อธิบายว่า “ความเข้มของสนามแม่เหล็กเป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎีการเร่งรังสีคอสมิค(cosmic-ray acceleration theory)”

ภาพจากหอสังเกตการ์รังสีเอกซ์ซูซาคุ(Suzaku X-ray observatory) ของญี่ปุ่น แสดง RXJ1713.7-3946 ซากซูเปอร์โนวาที่ระเบิดขึ้น

เมื่อ 1,600 ปีก่อน เส้นสีเขียวแสดงความเข้มของรังสีแกมมาที่วัดโดย High Energy Stereoscopic System (HESS) ในประเทศนามิเบีย

Credit: JAXA/Takaaki Tanaka/HESS

 

Uchiyama และคณะมุ่งความสนใจไปที่แหล่งกำเนิดความร้อนสูงที่แผ่รังสีเอกซ์ภายในซากซูเปอร์โนวาที่ชื่อ RXJ1713.7-3946 ภายในกลุ่มดาวราศีพิจิก(แมงป่อง) (Scorpius) ด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอกซ์จันทรา(Chandra) เนื่องจาก RXJ1713.7-3946 สว่างและหรี่ลงภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญที่ระบุว่า มีอิเลคตรอนกำลังถูกเร่งความเร็วภายในสนามแม่เหล็กอันเข้มข้นในบริเวณดังกล่าว และนั่นอาจเป็นแหล่งกำเนิดรังสีคอสมิค และเนื่องจาก RXJ1713.7-3946 เคลื่อนที่ไม่มาก นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จึงสามารถวัดอัตราเร็วของคลื่นกระแทกของมันได้ 16 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง และนำไปสู่การวัดความเข้มของสนามแม่เหล็กที่เร่งอนุภาคของซากซูเปอร์โนวาดังกล่าวได้

 

แสดงทิศทางของคลื่นกระแทยกจากซูเปอร์โนวาที่ขยายตัวออกมาทุกทิศทุกทาง

source : http://heasarc.gsfc.nasa.gov/docs/objects/snrs/cartoon.html

 

รังสีคอสมิคถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 2455 และนับแต่ปี 2503 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์คาดว่าซากซูเปอร์โนวาอาจเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของรังสีชนิดนี้ หลังการระเบิดของดาวฤกษ์ที่เรียกว่าซูเปอร์โนวา ซากซูเปอร์โนวาจะขยายตัวผ่านก๊าซระหว่างดาว(interstellar gas) ด้วยความเร็วสูงจนเกิดคลื่นกระแทกที่สามารถให้กำเนิดสนามแม่เหล็กความเข้มสู ขณะที่โปรตอน(proton) อิเลคตรอน(electron) และอนุภาคมีประจุชนิดอื่นๆ จากก๊าซระหว่างดาวถูกตรึงไว้ภายในสนามแม่เหล็กนั้น พวกมันก็จะถูกเร่งความเร็วจนมีความเร็วสูงแทบมองไม่เห็น จนกลายเป็นรังสีคอสมิค

โรงงานรังสีคอสมิคภายในอวกาศทำงานด้วยหลักการเดียวกับเครื่องเร่งความเร็วอนุภาคบนโลก แต่กลับสามารถเร่งอนุภาคด้วยพลังงานนับหมื่นเท่าของเครื่องมือของมนุษย์ ส่วน Uchiyama และคณะตีพิมพ์รายละเอียดของงานวิจัยนี้ภายในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 4 ตุลาคม

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ยานอวกาศโต้คลื่นในสนามแม่เหล็กดาวพฤหัสบดี(1)

Spacecraft Surfs Jupiter's Magnetic Tail

 

October 16th, 2007

Adapted from : www.space.com

ยานอวกาศ New Horizons(ขอบฟ้าใหม่) ขององค์การบริหารการบินอวกาศของสหรัฐอเมริกา(NASA) ยานอวกาศลำแรกที่มีเป้าหมายการสำรวจที่ดาวพลูโตและดวงจันทร์บริวาร ขณะเคลื่อนที่ผ่านไปยังด้านหลังหรือด้านกลางคืนของดาวพฤหัสบดี(Jupiter) ได้ตรวจพบฟองขนาดใหญ่ของกลุ่มอนุภาคมีประจุหรือพลาสมา(plasma) ตลอดจนโครงสร้างของ magnetotail ที่คล้ายกับหางลูกอ๊อด ของดาวพฤหัสบดี

ภายในอวกาศใกล้ๆ ดาวเคราะห์หลายดวงภายในระบบสุริยะ(solar system) ของเรา มีการปะทะสังสรรกันระหว่างสนามแม่เหล็ก(magnetic field)ของดาวเคราะห์เหล่านั้นกับกระแสอนุภาคมีประจุความเร็วสูงจากดวงอาทิตย์ หรือที่เรียกว่าลมสุริยะ(solar wind) โดยเขตอิทธิพลที่สนามแม่เหล็กดาวเคราะห์แต่ละดวงแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานและชลอความเร็วหรือแม้แต่หยุดอนุภาคภายในลมสุริยะได้ เรียกว่า “ปริมณฑลแม่เหล็ก (magnetosphere)”

 

ปริมณฑลแม่เหล็ก(magnetosphere) ของโลก

source : http://www.ece.unm.edu/~plasma/Space/Images/earth_magneto.jpg

 

สำหรับดาวพฤหัสบดีซึ่งมีสนามแม่เหล็กที่เข้มข้น ปริมณฑลแม่เหล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 200 เท่าของขนาดดาวพฤหัสบดี และจัดเป็นโครงสร้าง      ขนาดใหญ่ที่สุดภายในระบบสุริยะเลยทีเดียว อีกทั้งแม้ว่าดาวพฤหัสบดีจะอยู่ห่างไกลจากโลกมากก็ตาม หากตามนุษย์มองเห็นปริมณฑลแม่เหล็กของดาวเคราะห์  ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะดวงนี้ล่ะก็ เราจะเห็นมันมีขนาดปรากฎบนท้องฟ้าเท่ากับขนาดของดวงจันทร์วันเพ็ญเลยทีเดียว ด้านที่ปริมณฑลแม่เหล็กดาวพฤหัสบดี  หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์หรือด้านกลางวัน ปริมณทลแม่เหล็กจะถูกลมสุริยะบีบ ส่วนด้านหลังกลับปริมณฑลแม่เหล็กกลับถูกลมสุริยะลากให้ยืดยาวออกไปจนดูคล้ายหางของดาวหางหรือลูกอ๊อดกบ

 

ภาพตัดขวางแสดง ปริมณฑลแม่เหล็ก ของดาวพฤหัสบดี magnetotail และฟองพลาสมาขนาดใหญ่ที่เรียกว่า(plasmoid)

ที่กำลังเคลื่อนที่ไปตาม magnetotail ลูกศรสีขาวแสดงเส้นสนามแม่เหล็ก ดาวพฤหัสบดีคือจุดเล็กๆ

ภายในเขตสีส้มทางซ้ายมือที่ซึ่งเส้นสนามแม่เหล็กมาบรรจบกัน

Credit: Science

 

ขณะที่ยานอวกาศ New Horizons มุ่งหน้าสู่ดาวพลูโต ยานอวกาศลำนี้จำเป็นต้องโคจรผ่านเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีเพื่อยืมแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของดาวเคราะห์ดวงนี้ช่วยเหวี่ยงให้ตัวยานเดินทางไปยังดาวพลูโตได้ ด้วยการเพิ่มความเร็วและเปลี่ยนทิศทางให้ออกจากระนาบดาวเคราะห์อื่นๆ เนื่องจากระนาบการโคจรของดาวพลูโตรอบดวงอาทิตย์ทำมุมเอียงกับระนาบการโคจรของดาวเคราะห์อื่นๆรอบดวงอาทิตย์ และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้ New Horizons ก็ได้เดินทางเข้าไปยัง ปริมณฑลแม่เหล็กของดาวพฤหัสบดี ตัดผ่านเข้าไปในส่วน magnetotail หรือบริเวณหางของปริมณฑลแม่เหล็กเป็นระยะทางกว่าร้อยล้านกิโลเมตร ซึ่งนับว่าเป็นระยะทางที่ยาวกว่ายานอวกาศลำใดๆ จะเคยเดินทางผ่าน

 

อนุภาคจากดวงจันทร์ไอโอที่ถูกทำให้มีประจุ(ionize) และถูกกักไว้ภายในปริมณฑลแม่เหล็กของดาวพฤหัสบดี

source : http://physics.uoregon.edu/~jimbrau/BrauImNew/Chap11/FG11_20.jpg

 

ภายใน magnetotail ของดาวพฤหัสบดี ยานอวกาศ New Horizon เคลื่อนผ่านฟองพลาสมาซึ่งเคลื่อนที่ช้า ที่เรียกว่า plasmoids ซึ่งเกิดขึ้นภายใน magnetotail และเคลื่อนไปตามสนามแม่เหล็กดาวพฤหัสบดี นักวิทยาศาสตร์คิดว่าฟองก๊าซดังกล่าวเกิดจากวัสดุที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงจันทร์ไอโอ(Io) หนึ่งในบริวารดวงหนึ่งของดาวพฤหัสบดี โดยดวงจันทร์ดวงนี้จัดเป็นเทหวัตถุที่มีภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งในระบบสุริยะ ทุกครั้งที่ภูเขาไฟระเบิด ดวงจันทร์ไอโอจะพ่นวัสดุออกสู่อวกาศคิดเป็นอัตรา 1 ตันต่อวินาที วัสดุดังกล่าวจะถูกอนุภาคภายใน ปริมณฑลแม่เหล็กของดาวพฤหัสบดีแย่งเอาอิเลคตรอน(electron) ออกไป ทำให้อนุภาคจากไอโอกลายเป็นไอออนประจุบวกที่ถูกกักไว้ภายในสนามแม่เหล็ก แล้วเคลื่อนที่ไปรอบๆ ดาวพฤหัสบดีเหมือนกับกลุ่มเมฆ

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

ยานอวกาศโต้คลื่นในสนามแม่เหล็กดาวพฤหัสบดี(2)

Spacecraft Surfs Jupiter's Magnetic Tail

 

October 16th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

Ralph McNutt นักวิทยาศาสตร์อาวุโสแห่งห้องทดลองฟิสิกส์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และผู้นำงานวิจัยนี้พร้อมทั้งสมาชิกกลุ่มวิจัยเสนอว่า อนุภาคจากดวงจันทร์ไอโอที่ถูกจับไว้จะยืดเส้นสนามแม่เหล็กของดาวพฤหัสบดีคล้ายกับยางวงยืด(rubber band) ในขณะนั้นเส้นสนามจะถูกดึงกลับจนเกิดเหตุการณ์ “การต่อใหม่ของเส้นสนามแม่เหล็ก” (magnetic reconnection) คล้ายกับการดีดกลับของยางยืดที่ทำให้เกิดแรงดึงกลับ นักวิทยาศาสตร์คิดว่าเส้นสนาม           ที่ดีดกลับจะมีพลังงานสูงพอที่จะพากลุ่มก้อนพลาสมาขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบดาวพฤหัสบดี พร้อมทั้งส่งผ่านพลังงานไปยังฟองพลาสมาและเร่งความเร็วพาพวกมัน  ไปยังส่วน magnetotail กลายเป็น plasmoid ในที่สุด

 

สนามแม่เหล็กดาวเคราะห์กับจุดที่มีโอกาสเกิดการต่อใหม่ของเส้นสนามแม่เหล็ก(magnetic reconnection) N1, N2, และ N3

โดย plasmoid หรือกลุ่มพลาสมา ภายใน magnetotail ของโลก

 credit: A Brief History of Magnetospheric Physics during the Space Age" by D.P. Stern.

 

นอกจากนี้ยานอวกาศ New Horizon ยังตรวจพบอนุภาคมีประจุร้อน(very hot charged particle)หรืออนุภาคมีประจุที่มีพลังงานจลน์สูง กำลังเคลื่อนที่ไปตาม magnetotail ซึ่งจะเย็นตัวหรือมีพลังงานจลน์ลดลงจนเคลื่อนที่ช้าลงไปเรื่อยๆ ขณะที่พวกมันเคลื่อนห่างออกไปจากดาวพฤหัสบดี อนุภาคบางส่วนมาจากดวงจันทร์ไอโอ แต่บางส่วนมาจากลมสุริยะ และภายในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีเอง ซึ่งอนุภาคจากภายในชั้นบรรยากาศดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์แปลกใจ

 

ตัวอย่างการต่อใหม่ของเส้นสนามแม่เหล็ก เมื่อเส้นสนามแม่เหล็กขั้วเหนือต่อใหม่กับเส้นเดิม(แต่ทิศทางตรงกันข้าม)

วงสนามแม่เหล็กที่ขาดออกจะเกิดพลังงานปริมาณมหาศาลผลักดันบ่วงแม่เหล็กให้เคลื่อนที่ออกไป

Source: http://solarmuri.ssl.berkeley.edu/~hhudson/cartoons/thepages/Dungey.html

 

“มันแน่ชัดว่ามีการหลบหนีอย่างมีนัยสำคัญของวัสดุจากดาวเคราะห์(ดาวพฤหัสบดี) เพราะการประทุอันสุกสว่างที่สุดที่เห็นได้ เป็นวัสดุส่วนใหญ่ที่มาจากดาวพฤหัสบดี ไม่ได้มาจากลมสุริยะหรือดวงจันทร์ไอโอ” David McComas หัวหน้าผู้ตรวจสอบของแผนกอุปกรณ์ Solar Wind Around Pluto(SWAP) ซึ่งติดตั้งบนยาน New Horizon กล่าว

ยานอวกาศยังคงพบบางสิ่งที่ตรงข้ามกับ magnetotail ของโลก สำหรับ magnetotail ของดาวเคราะห์ก๊าซชนิด Jovian ยังมีโครงสร้างที่น่าตกใจ เนื่องจากมันมีทั้งการแปรเปลี่ยนแบบใช้ระยะเวลานาน และขอบเขตความหนาแน่นพลาสมาที่เรียบหรือเปลี่ยนแปลงอย่างชนิดฉับพลัน “รายงานจากการสังเกตการณ์โดยยานอวกาศ Pioneer 7 ว่า magnetotail ของโลกมีความยาวประมาณ 1,000 เท่า ของรัศมีโลก แต่กลับมีโครงสร้างที่ไม่ต่อเนื่องและไม่อยู่ในระเบียบเหมือนกับดาวพฤหัสบดี” McNutt อธิบาย “magnetotail ของดาวพฤหัสบดียาว แต่มีที่สิ้นสุด ที่บางจุดในอวกาศ ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์จะหายไป อีกทั้ง magnetotail ก็จะเรียวเล็กลงผสามกลมกลืนไปกับลมสุริยะ ส่วน plasmoid ก็จะสูญเสียรูปร่างไปตามระยะทาง อนุภาคภายใน plasmoid ก็จะผสานกลมกลืนไปกลับอนุภาคของดวงอาทิตย์ภายในลมสุริยะด้วยเช่นกัน

 

สนามแม่เหล็กดาวพฤหัสบดีเชื่อมต่อกับดวงจันทร์ไอโอ

source : http://www.chemsoc.org/chembytes/ezine/2000/miller_nov00.htm Adapted from Physics World, August 1999, p20

 

งานวิจัยนี้ ตีพิมพ์รายละเอียดลงในวารสาร Science ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม ซึ่งสามารถช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสนามแม่เหล็กดาวเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสนามแม่เหล็กของโลกหรือดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ทั้งในและนอกระบบสุริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราเข้าใจดาวพฤหัสบดีได้ดียิ่งขึ้นเพียงใด เราก็จะเข้าใจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะชนิด ดาวพฤหัสบดีร้อน(hot Jupiter) ได้ดียิ่งขึ้นเพียงนั้น


 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

พายุสุริยะเด็ดหางดาวหาง

Solar Storm Rips Tail Off Comet

 

October 4th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

ดาวเทียม Solar Terrestrial Relation Observatory (STEREO) ของนาซาสามารถจับภาพเหตุการณ์พายุสุริยะทำลายหางของดาวหาง            เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์เกิดการประทุแบบปลดปล่อยกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ของก๊าซพลังงานสูงออกมา หรือ การปลดปล่อยมวล โคโรนา (Coronal mass ejection : CME) กลุ่มเมฆดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปยังเส้นทางของดาวหาง Encke ซึ่งกำลังโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์    ภายในระยะไม่เกินวงโคจรของดาวพุธ ช่วงเวลาที่กลุ่มก๊าซพุ่งเข้าปะทะและกวาดผ่านดาวหาง หางที่สุกสว่างของ Encke กลับแยกขาดออกจาก  ส่วนหัวของดาวหางอันเป็นหินน้ำแข็ง และถูกเมฆก๊าซมีประจุเหล่านั้นพัดพาออกไป

ลำดับภาพดาวหาง Encke ภายในวงกลมสีแดงปะทะกับ CME จากดวงอาทิตย์บริเวณขอบทางขวามือ โดยกล้องบนยานอวกาศ STEREO

ในภาพ   ที่สามจากซ้ายมือจะเห็นว่าหางของ Encke ขาดออกจากส่วนหัว

Credit: NASA

 

Angelos Vourlidas จากศูนย์ปฏิบัติการวิจัยกองทัพเรือ(Naval Research Laboratory) ของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “เรารู้สึกตกใจเมื่อเห็นภาพถ่ายดังกล่าว” “นี่เป็นครั้งแรกที่เราเป็นประจักษ์พยานการปะทะกันระหว่าง CME กับดาวหาง และยิ่งหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นหางดาวที่หลุดออกจาก    แกนหลางอันเป็นน้ำแข็ง”

ดาวหาง Encke โดย Jim Scotti เมื่อ 24 ตุลาคม, 17 พฤศจิกายน, 8 ธันวาคม 2536 และ 5 มกราคม 2537

Credit: Jim Scotti

 

ดาวหางเป็นก้อนน้ำแข็งที่หลงเหลืออยู่จากกระบวนการกำเนิดระบบสุริยะเมื่อประมาณพันล้านปีก่อน พวกมันมักจะถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์หรือดาวเคราะห์บริวารดวงอื่นๆ ชักนำให้เร่ร่อนออกจากบ้านเกิดอันไกลโพ้นและเย็นยะเยือก ณ ส่วนนอกสุดของระบบสุริยะ เข้าสู่บริเวณระบบสุริยะ    ส่วนใน โดยทั่วไปดาวหางมีวงโคจรที่มีความรีมาก ทำให้ ณ ช่วงหนึ่งของเส้นทางโคจร ดาวหางจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ เมื่อเวลานั้นมาถึงความร้อนจากดวงอาทิตย์จะระเหยก๊าซและฝุ่นออกจากแกนกลางซึ่งเป็นน้ำแข็งของดาวหาง ก๊าซหรือฝุ่นห่อหุ้มส่วนหัวหรือ nucleus ของดาวหาง เรียกว่า coma ส่วนที่ถูกลมสุริยะพัดพาออกไปยังด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กลายเป็นส่วนที่เรียกว่า “หาง” (tail)

โครงสร้างของดาวหางมีนิวเคลียสซึ่งเป็นก้อนน้ำแข็ง ถูกห่อหุ้มด้วยฝุ่นและก๊าซที่เรียกว่า Coma

ส่วนหางของดาวหางคือก๊าซและฝุ่นจากนิวเคลียส ที่ระเหยอออกมาจากนิวเคลียสแล้วถูกลมสุริยะพัดพาออกไป

source : http://www.mhhe.com/physsci/astronomy/arny/instructor/graphics/ch10/1009.html

 

ส่วน CME เป็นการประทุอย่างรุนแรงบนดวงอาทิตย์ ซึ่งพามวลมากกว่าพันล้านตันออกสู่อวกาศด้วยอัตราเร็วประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตรต่อวินาที ปรากฎการณ์นี้ทำให้เกิดพายุแม่เหล็กโลก(geomagnetic storms) ภายในชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งก่อกวนการทำงานของดาวเทียม ระบบสื่อสารทางวิทยุ และบางครั้งก็ทำให้ดาวเทียมเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์เกรงกลัวว่าหางของ Encke จะขาดจากกันตลอดกาลและ CME จะเป็นจำเลยในคดีนี้ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้พบเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ รายงานการค้นพบนี้ จะตีพิมพ์รายละเอียดลงในวารสาร Atmospheric Journal Letter ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม ศกนี้

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

หางดวงหางคล้อยตามดวงอาทิตย์ที่โมโหร้าย

Comet's Tail Tames Sun's Fury

 

October 4th, 2007

Adapted from : www.space.com

 

เมื่อปี 2547 ยานอวกาศยูลิซิส (Ulysses) ขององค์การบริหารการบินอวกาศ สหรัฐอเมริกา (NASA) และ องค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency : ESA) ได้บินผ่านหางของดาวหาง McNaught โดยบังเอิญ ครั้งนั้นข้อมูลที่ตรวจได้โดย สเปคโตรมิเตอร์ตรวจวัดไอออนองค์ประกอบภายในลมสุริยะ (Solar Wind Ion Composition Spectrometer : SWICS) ซึ่งติดตั้งไปกับยานลำดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าหางของดาวหาง (comet tail) ทำให้ลมสุริยะหรือสายธารอนุภาค  มีประจุ (charged particle) ที่อออกมาจากดวงอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ เคลื่อนที่ช้าลง

ดาวหาง McNaught ขณะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทำให้ก๊าซและฝุ่นที่ห่อหุ้มส่วนหัวของดาวหางถูกลมสุริยะพัดพาไปยังด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์

ภาพนี้ถ่ายโดย Roger Johansen ในเมือง Hammerfest ประเทศนอร์เวย์ เมื่อ 6 มกราคม 2550

Credit: Roger Johansen

 

โดยทั่วไปอนุภาคมีประจุ จะเคลื่อนที่ออกสู่อวกาศด้วยอัตราเร็วประมาณ 700 กิโลเมตรต่อวินาที แต่ภายในหางของดาวหางหรือกระแสก๊าซหรือฝุ่นที่แผ่ขยายตัวออกมาจากส่วนหัวของดาวหางแล้วถูกลมสุริยะพัดพามายังทิศข้ามกับดวงอาทิตย์ ลมสุริยะกลับมีความเร็วเหลือเพียง 400 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง

นอกจากนี้ เนื่องจากลมสุริยะประกอบด้วยอะตอมธาตุที่สูญเสียอิเลคตรอนออกไป จึงทำให้กลายเป็นไอออนประจุบวก(Positive charged ion) แต่ยานยูลิซิส    กลับพบอิเลคตรอนปะปนมากับลมสุริยะภายในชั้นบรรยากาศของดาวหางที่ยืดยาวออกมาด้านหลังหรือ comet tail ด้วย แสดงว่าชั้นบรรยากาศของดาวหาง       ปลดปล่อยอิเลคตรอนออกมา ปะปนไปกับลมสุริยะด้วย

วงโคจรรอบที่สามของยาน Ulysses สำหรับภารกิจตรวจวัดข้อมูลจากบริเวณเหนือขั้วทั้งสองของดวงอาทิตย์

Credit:NASA/ESA

 

การค้นพบปรากฎการณ์ใหม่ทั้งสอง นำความตื่นเต้นมายังนักวิทยาศาสตร์หลายคน Thomas Zurbuchen หนึ่งในสมาชิกกลุ่มวิจัยนี้ จากมหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกน (University of Michigan) เปรียบเปรย การที่ยานอวกาศยูลิซิสบินผ่านหางดาวหางแล้วพบข้อมูลอันน่าพิศวงดังกล่าว ก็เหมือนกับการที่เอามือวักน้ำในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) แล้วได้ปลาติดมาตัวหนึ่ง

อย่างไรก็ดีสิ่งที่ยานยูลิซิสพบ กลับขัดแย้งกับผลการสังเกตการณ์เมื่อปี 2539 เมื่อยานอวกาศยูลิซิลำเดียวกัน บินผ่านหางของดาวหางเฮียกกุตาเกะ (Hyakutake) ครั้งนั้นกลับไม่พบทั้งลมสุริยะที่เคลื่อนที่ช้าลงหรือแม้แต่กระแสอิเลคตรอน

ดาวหางเฮียกกุตาเกะ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2539 โดย M.P.Mobberley

credit : M.P.Mobberley

 

นอกจากดวงหาง McNaught แล้ว ยานอวกาศยูลิซิสเคยบินผ่านหางของดาวหาง SOHO (ตั้งชื่อตามยานอวกาศ SOHO ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่นำไปสู่การค้นพบ     ดาวหางหลายต่อหลายดวง) เมื่อปี 2547 หลังจากการประทุของอนุภาคพลังงานสูงจากผิวดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่าการปลดปล่อยมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejetion:CME) ซึ่งพัดพาเอาวัสดุจากดวงหางมายังยานอวกาศยูลิซิส

รายงายการวิจัยนี้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Astrophysical Journal ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

 

พบดาวหางใหม่ คล้ายดาวหางฮัลลีย์

Astronomers Spot New 'Halley-Like' Comet

SOHO's new catch: its first officially periodic comet

 

October 4th, 2007

Adapted from : www.space.com, www.esa.int

 

หอสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์และสภาพอวกาศรอบดวงอาทิตย์(SOlar and Heliospheric Observatory:SOHO) พบดาวหางดวงใหม่ที่กำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวหางดวงดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า P/2007 R5 (SOHO) เป็นดาวหางที่มีคาบ(periodic comet) หรือมีวงโคจรเป็นวงปิดสามารถเดินทางกลับมายังตำแหน่งเดิมได้ โดยไม่หลุดหายออกไปจากระบบสุริยะ

ดาวหางแบบมีคาบเท่าที่ค้นพบมี 190 ดวงจากจำนวนดาวหางหลายพันดวงที่ถูกค้นพบแล้ว แม้ว่าดาวหางที่ถูกคาดว่าจะโคจรเป็นคาบจะมีจำนวนมากกว่านี้ แต่ก็ต้องรอให้พบเห็นดาวหางดวงเดิมในตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์สองครั้ง   และมีคาบไม่เกินกว่า 200 ปี   โดยดาวหางแบบมีคาบที่ยอดนิยมที่สุด   ดาวหางฮัลลีย์  (Halley’s Comet) ซึ่งจะโคจรมาเยี่ยมเยือนระบบสุริยะรอบในทุกๆ 76 ปี โดยล่าสุดคือเมื่อปี 2529

งโคจรแบบต่างๆของเทหวัตถุ ดาวหางที่มีแต่วงโคจรแบบวงรี (elliptical path) เท่านั้นจึงจะเรียกว่า periodic comet

หรือดาวหางแบบมีคาบ ส่วนดาวหางที่มีเส้นทางโคจรแบบพาราโบลา(parabolic path) และไฮเปอร์โบลา(Hyperbolic path)

จะมีความเร็วสูงเกินกว่าที่ดวงอาทิตย์จะดักเอาไว้ด้วยแรงโน้มถ่วง ดาวหางดังกล่าวจึงเคลื่อนที่ออกไปนอกระบบสุริยะโดยไม่กลับมาอีกเลย

source : http://abyss.uoregon.edu/~js/ast121/lectures/lec04.html

 

ขณะที่ดาวเทียม SOHO พบดาวหางกว่า 1,350 ดวง ซึ่งคาดว่าจะมีคาบ แต่ P/2007 R5 (SOHO) เป็นดาวหางดวงแรกที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันข้อสันนิษฐานและประกาศอย่างเป็นทางการ

ดาวหางดวงใหม่นี้มีวงโคจรเล็กกว่าฮัลลีย์ โดยโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบรอบทุกๆ 4 ปี ถูกพบเห็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2542 และอีกครั้งในเดือนกันยายน 2546 โดย Sebastian Hoenig นักศึกษาปริญญาเอกจากสถาบันมักซ์-พลังค์ เพื่อดาราศาสตร์วิทยุ  (Max-Planck-Institute for Radioastronomy)          กรุงบอนน์ เยอรมนี ซึ่งคาดว่าดาวหางทั้งสองอาจเป็นเทหวัตถุดวงเดียวกัน

ดวงหาง P/2007 R5 (SOHO) ดวงหางคล้ายดาวหางฮัลลีย์ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบรอบด้วยเวลา 4 ปี Credit: Karl Battams, NRL

 

เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง Hoenig คำนวณวงโคจรของดาวหางและทำนายว่ามันจะกลับมาให้เห็นอีกในวันที่ 11 กันยายน 2550 ซึ่งดาวหางดวงนี้ก็มาตามนัด โดยปรากฏตัวในกล้อง LASCO ของยาน SOHO นับว่า Hoenig คำนวณได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมาก วิธีการนี้คล้ายกับวิธีการที่ Edmond Halley นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษใช้เมื่อปี พ.ศ. 2225 เชื่อมโยงดาวหางที่พบในปี พ.ศ. 2074 กับ 2150

P/2007 R5 (SOHO) ถูกคาดว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 ถึง 200 เมตร แตกต่างจากดาวหางดวงอื่นๆ ตรงที่ไม่มีหางหรือแม้แต่ ฮาโลเรืองแสง(glowing halo) ที่เรียกว่า โคมา(coma) อันเป็นกลุ่มก๊าซและฝุ่นห่อหุ้มส่วนหัว จนนักวิทยาศาสตร์บางท่านสงสัยว่ามันอาจเป็นเพียงดาวเคราะห์น้อยน้ำแข็งมากกว่า แต่ P/2007 R5(SOHO) ก็ยังแสดงสมบัติของดาวหาง โดยขณะที่มันเคลื่อนที่เฉียดผ่านดวงอาทิตย์ที่ระยะ 7.9 ล้านกิโลเมตร ดาวหางดวงนี้กลับสว่างนับล้านเท่าของความสว่างปกติของดาวหางทั่วไป ดังนั้น P/2007 R5 (SOHO) จึงเป็นดาวหางอย่างไม่ต้องสงสัย

P/2007 R5 (SOHO)  เรืองสว่างเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น  หลังจากนั้นก็หรี่ลงจน LASCO ไม่สามารถจับภาพได้   เพราะขนาดที่ค่อนข้างเล็กของมันยังทำให้        การสังเกตการณ์จากบนพื้นโลกเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

ส่วนประกอบของดาวหางได้แก่นิวเคลียส(nuleus) ส่วนน้ำแข็ง ก๊าซ หรือฝุ่นที่ถูกพ่นออกมาห่อหุ้มส่วนนิวเคลียสเรียกว่า โคมา(coma)

และก๊าซ ฝุ่น หรือน้ำแข็ง    ที่ยืดออกไปด้านหลังดาวหางเรียกว่า หาง(tail)

source: http://physics.uoregon.edu/~jimbrau/BrauImNew/Chap14/FG14_09.jpg

 

Karl Kattams ผู้ดูแลโครงการค้นหาดาวหางด้วยยาน SOHO ให้ความเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่ ดาวหางดวงนี้จะเป็น extinct comet หรือดาวหางที่น้ำแข็งส่วนใหญ่ระเหยออกไป เหลือวัสดุเพียงน้อยนิดในการสร้าง หาง(tail) หรือโคมา(coma) อันเนื่องมาจากการโคจรในระยะใกล้กับดวงอาทิตย์มากจนน้ำแข็งถูกระเหยออกไปเป็นจำนวนมาก

นักดาราศาสตร์คาดว่า P/2007 R5 (SOHO) จะกลับมาให้เห็นอีกในเดือนกันยายน 2554 และพวกเขาก็เฝ้ารอต่อไปเพื่อหวังว่าจะได้ศึกษาดาวหางดวงนี้อีกครั้ง

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

แบบจำลองคอมพิวเตอร์นำไปสู่การค้นหาพิภพ        คล้ายโลกนอกระบบสุริยะ

NASA Imagines Earth-Like Worlds

 

October 3rd, 2007

Adapted from : www.space.com

 

แม้นักดาราศาสตร์สามารถค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งการสร้างทฤษฎีหรือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เพื่ออธิบายสิ่งที่พิภพนอกระบบสุริยะควรจะเป็น

บัญชีรายชื่อดาวเคราะห์ 14 ชนิด บัญชีใหม่สามารถช่วยนักล่าดาวเคราะห์ค้นพบพิภพใหม่ๆ ที่ยังคงเป็นนิยาย                                                                          ด้วยการจำลองโดยคอมพิวเตอร์ ทำให้ได้ดาวเคราะห์ 14 ชนิด แปรผันตามมวล เส้นผ่านศูนย์กลาง องค์ประกอบ และสถานที่ที่อาจพบได้ภายในกาแลกซี           ทางช้างเผือก

ภาพจำลองแสดงดาวเคราะห์คล้ายโลกที่กำลังโคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น

Credit: NASA/JPL

บางดวงอาจประกอบด้วย น้ำแข็ง (pure water ice), คาร์บอน (carbon) เหล็ก (iron) ซิลิเกต (silicate) คาร์บอนมอนอกไซด์(carbon monoxide) หรือ ซิลิกอนคาร์ไบด์(silicon carbide) เป็นองค์ประกอบหลัก ขณะที่ดาวเคราะห์ชนิดอื่นอาจมีสารประกอบผสมผสารกันอย่างหลากหลาย

Marc Kuchner จากศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ด ของนาซา และคณะ จะตีพิมพ์งานวิจัยนี้ในวารสาร Astrophysical Journal ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม             นอกเหนือจากการตั้งสมมติฐานพิภพไกลโพ้นรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ซึ่งอาจจะใหญ่หรือเล็กกว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา นักดาราศาสตร์ยังสนใจทุกรูปแบบของดาวเคราะห์ที่เป็นไปได้ ซึ่งจะนำไปสู่องค์ประกอบของวงแหวนมวลสารก่อนกำเนิดดาวเคราะห์ (protoplanetary disk) อันเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับการก่อตัวของดาวเคราะห์รอบๆ ดาวฤกษ์รุ่นใหม่

นักดาราศาสตร์คำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเคราะห์หลายชนิดแปรผันตามองค์ประกอบทางเคมีและน้ำ

 Credit: Marc Kuchner/NASA GSFC

ดาวเคราะห์มากกว่า 250 ดวงที่ถูกค้นพบนอกระบบสุริยะ ส่วนใหญ่มีขนาดพอๆ กับดาวพฤหัสบดี (Jovian-like world) ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงทราบความเป็นไปได้ที่จะพบดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ แต่ทว่าสำหรับดาวเคราะห์คล้ายใกล้โลก(Earth-like) ดาวเคราะห์หิน หรือแม้แต่ดาวเคราะห์ที่อุดมด้วยน้ำ ยังคงห่างไกลจากความเข้าใจในปัจจุบันของนักดาราศาสตร์

ด้วยการสร้างแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาผลจากแรงโน้มถ่วงที่กดดันดาวเคราะห์ทั้งมวลและองค์ประกอบทางเคมี และทำนายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเคราะห์ และพบว่าขนาดของดาวเคราะห์มีความสัมพันธ์กับมวล ดาวเคราะห์ที่ประกอบด้วยน้ำบริสุทธิ์และมีน้ำหนักเท่าโลกจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15,289 กิโลเมตร ขณะที่ดาวเคราะห์เหล็ก(iron planet) ที่มวลเท่ากันจะถูกแรงโน้มถ่วงกดทับจนมีขนาดเหลือเพียง 3000 กิโลเมตร ส่วนโลกที่ ประกอบด้วยซิลิเกตเป็นส่วนใหญ่มีขนาด 12,755 กิโลเมตร

แบบจำลองทางทฤษฎีแสดงความสัมพนธ์ระหว่างมวลและเส้นผ่านศูนย์ของดาวเคราะห์ซึ่งมีธาตุองค์ประกอบชนิดต่างๆ

Credit: Marc Kuchner/NASA GSFC

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ยังสามารถให้แนวทางในการค้นหาดาวเคราะห์แต่ละชนิดอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ดาวเคราะห์อุดมคาร์บอนและคาร์บอนมอนอกไซด์ มักจะเป็น บริวารของดาวฤกษ์ที่วิวัฒนาการจนสิ้นสุดอายุขัยไปแล้ว เช่น ดาวแคระขาว(dwarf) และ พัลซาร์(pulsar) หรือไม่ก็ก่อตัวภายในวงแหวนวัสดุที่อุดมด้วยธาตุคาร์บอน เหมือนกับดาวเคราะห์บริวารของ Beta Pictoris

โครงการไล่ล่าดาวเคราะห์และภารกิจอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ (James Webb Space Telescope) หรือ Terrestrial Planet Finder เป็นต้น นักวิจัยหวังว่าเมื่อนักดาราศาสตร์เริ่มต้นค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลก แบบจำลองเหล่านี้จะได้รับข้อมูลของดาวเคราะห์ในเบื้องลึกต่อไป  ทั้งขนาด มวล และองค์ประกอบทางเคมี

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------

 

 

กาแลกซีคู่หูเคยวิ่งผ่านทางช้างเผือก

Milky Way Companions Just Passing Through

 

 

October 3rd, 2007

Adapted from : www.space.com

 

ผลการสังเกตการณ์กาแลกซีแคระ เมฆของแมกเจลเลนใหญ่(Small Magellanic Cloud) กับเมฆของแมกเจลเลนเล็ก(Small Magellanic Cloud) ทำให้ต้องปรับปรุงทฤษฎีเกี่ยวกับอันตรกิริยาระหว่างกาแลกซีทางช้างเผือกกับกาแลกซีบริวารใหม่

แสดงกาแลกซี Large Magellanic Cloud หนึ่งในกาแลกซีเพื่อนบ้านที่ใกล้กาแลกซีทางช้างเผือกของเรามากที่สุด

Credit: Robert Gendler and Josch Hambsch

Gurtina Besla แห่งศูนย์ฮาร์วาร์ด-สมิทธโซเนียน เพื่อฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ในแมซซาชูเซตต์ส ผู้เขียนนำในงานวิจัยที่กำลังตีพิมพ์ กล่าวว่า “เราทราบเกี่ยวกับเมฆดังกล่าวตั้งแต่ยุคสมัยของแมกเจลแลน และเครื่องมือวัดสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลทุกด้านที่เราคิดว่าจะทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของกาแลกซี” กาแลกซีเมฆแมกเจลแลนใหญ่(Large Magellanic Cloud) มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1 ใน 20 ของเส้นผ่านศูนย์กลางกาแลกซีทางช้างเผือก และมีจำนวนดาวฤกษ์น้อยกว่าถึง 10 เท่า อยู่ห่างจากโลก 160,000 ปีแสง ส่วนกาแลกซีเมฆแมกเจลแลนเล็ก(Small Magellanic Cloud) ที่เล็กกว่าทางช้างเผือก 100 เท่า อยู่ห่างจากโลก 200,000 ปีแสง

เดิมที นักดาราศาสตร์คิดกันว่าแนวก๊าซไฮโดรเจนที่ขยายออกมาจากกาแลกซีขนาดเล็กดังกล่าวหรือที่เรียกว่า ธารแมกเจลแลน(Magellanic Stream) เกิดขึ้นเนื่องจากแรงไทดัลระหว่างกาแลกซีแมกเจลแลนทั้งสองกับทางช้างเผือก หรือไม่ก็เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนที่ถูกความดันก๊าซภายในกาแลกซีแมกเจลแลนพ่นออกมาจากบริเวณฮาโล(halo) ทว่าสมมติฐานทั้งหมดกลับถูกล้ม ด้วยแนวคิดที่ว่ากาแลกซีทั้งสองเคยเคลื่อนผ่านกัน

ประชาการของดาวฤกษ์เกิดใหม่ภายใน Small Magellanic Cloud โดยกล้องโทรทรรศ์อวกาศ Hubble

Credit: NASA, ESA, A. Nota (STScI)

เมื่อต้นปี นักดาราศาสตร์ทำการวัดความเร็วในสามมิติของกาแลกซีเมฆของแมกเจลแลนทั้งสอง และพบว่าพวกมันเคลื่อนที่ในอวกาศด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของค่าอัตราเร็วที่เคยคำนวณไว้ก่อนหน้า กลุ่มของ Besla นำผลที่ได้ไปคำนวณในแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ และพบว่ากาแลกซีทั้งสองโคจรเป็นพาราโบลา และเคยพุ่งผ่านเข้ามาในกาแลกซีของเราเมื่อประมาณ 1 ถึง 3 พันล้านปีก่อน

Besla อธิบาย “ปัญหาคือ เมฆของแมกเจลแลนเล็กเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ทำให้เกิดการโคจรแบบพาราโบลา ซึ่งนับเป็นความเร็วที่สูงมาก มันเคลื่อนที่เร็วเกินไป หากไม่มีผลกระทบอื่นๆเกี่ยวข้อง มันก็จะเคลื่อนห่างออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เพราะแรงเสียดทานจากก๊าซภายในฮาโล(halo) ของกาแลกซีทางช้างเผือก และการศูนย์เสียมวลจนทำให้เกิด ธารแมกเจลแลน(magellanic stream) เป็นตัวหน่วงความเร็วของกาแลกซีดังกล่าว

ภาพจำลองแสดงตำแหน่งในสามมิติของกาแลกซีทางช้างเผือก เมฆแมกเจลแลนใหญ่และเล็ก รวมทั้ง ธารแมกเจลแลน(magellenic stream)

อันเป็นกลุ่มก๊าซที่ทอดออกมานอกกาแลกซีเพื่อนบ้านทั้งสอง

Credit: M. Putnam, B. Gibson (MSO) et al., CSIRO

แม้ว่ากาแลกซีจะมีวงโคจรอันยืดยาว แต่ก็ยังสามารถโคจรกลับมาหากาแลกซีทางช้างเผือกได้อีก แต่ก็อาจต้องใช้เวลามากกว่า 8 พันล้านปี หรือนานกว่านั้น     คณะนักวิจัยยังอธิบายอีกว่า ขณะที่ดาวฤกษ์ก่อตัวมันจะสูญเสียมวลบางส่วนไปในรูปของลมดาวฤกษ์(stellar wind) รวมทั้งการระเบิดและพัดพาเอาก๊าซบางส่วนออกสู่อวกาศ มีความเป็นไปได้ว่าวัสดุหรือก๊าซบางส่วนจะถูกพาออกมาเป็นช่วงๆ แล้วปรากฎการณ์อื่นๆ ที่คล้ายกับ ram pressure (แรงดันเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ผ่านตัวกลาง) กับแรงไทดัล(Tidal Force) จะเป็นตัวฉุดเอาวัสดุหรือก๊าซเหล่านั้นออกมาจากกาแลกซี แรงไทดัลระหว่างวัตถุขนาดใหญ่ อย่างเช่นโลกกับดวงจันทร์  หรือกาแลกซีสองแห่ง จะฉุดเอาด้านที่หันเข้าหากันให้โป่งพองขึ้นทั้งสองด้าน

 

 

 

เรีบเรียงโดย : วัชราวุฒิ กฤตินธรรม ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

----------------------------------------------------------