เดือนกันยายน  2551

September  2008

ลมสุริยะอ่อนแรง

September 25th, 2008

Adapted  from  Space.com: Sun's Wind is Lowest Ever Recorded


กระแสอนุภาคมีประจุที่ไหลอย่างต่อเนื่องออกมาจากดวงอาทิตย์ซึ่งเรียกว่าลมสุริยะ(solar wind)  ขณะนี้กำลังอยู่ในระดับอัตราเร็วต่ำสุดในรอบ 50 ปี เท่าที่เคยบันทึกโดยยานอวกาศ 

ปัจจุบันจำนวนจุดมืด(sun spot) ที่ปรากฏบนผิวดวงอาทิตย์น้อยลง พร้อมๆ กับที่ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสนามแม่เหล็ก เช่น การลุกจ้า(flare)  การปลดปล่อยมวลโคโรนา(Coronal Mass Ejection)  เป็นต้น   ซึ่งส่งผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลกและดาวเคราะห์อื่นๆ ในระบบสุริยะ
 


ภาพจำลองแสดง heliosphere รูปร่างคล้ายฟองอากาศซึ่งป้องกันระบบสุริยะจากรังสีคอสมิคจากกาแลกซี(galactic cosmic rays) Credit: NASA/Goddard Space Flight Center Conceptual Image Lab

ลมสุริยะปกติจะวิ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ด้วยอัตราเร็วประมาณ  1.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  สามารถกวาดกลบการแผ่รังสีและชนกับรังสีคอสมิค(cosmic ray) จากนอกระบบสุริยะออกไป  จนเกิดอาณาเขตอิทธิพลของสนามแม่เหล็กเป็นรูปทรงคล้ายฟองน้ำที่เรียกกว่า heliosphere
สำหรับยานอวกาศยูลิซิส(Ulysses)   ซึ่งปฏิบัติภารกิจสังเกตการณ์ลมสุริยะมานานนับ 17 ปี  ได้พบกับลมสุริยะที่รุนแรงและเชื่องช้าในรอบคาบวัฏจักรสุริยะ 11 ปี    ลมสุริยะที่เร็วและไหลคงเส้นคงว่าจะมาจากบริเวณละติจูดสูงหรือใกล้ขั้วดวงอาทิตย์  ในขณะที่ลมสุริยะที่เคลื่อนที่ช้าอีกทั้งยังคาดเดาได้ยาก จะมาจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรดวงอาทิตย์
โดยช่วงที่ดวงอาทิตย์เงียบสงบนี้   ยานอวกาศยูลิซิส(Ulysses)  พบว่าลมสุริยะเฉลี่ยมีความดันและความหนาแน่นลดลงประมาณร้อยละ 20 ถึง 25  ของลมสุริยะเมื่อช่วงเดียวกันนี้เมื่อรอบสุริยะครั้งก่อนหรือประมาณ 11 ปีที่แล้ว  
 


ยานอวกาศ Ulysses วัดลมสุริยะในช่วง Solar minimum, Solar Maximum, และ Solar Minimum ในรอบถัดไป  ตามรอบการโคจรที่ 1 2 และ 3  ตามลำดับ Credit: McComas et al. GRL, 2008


ลมสุริยะที่อ่อนแรงลงหมายความว่าอาณาเขตของ heliosphere ที่ห่อหุ้มป้องกันระบบสุริยะ ย่อมหดเล็กลง และรังสีคอสมิคจากกาแลกซี(galactic cosmic ray) ซึ่งมาจากดาวฤกษ์ดวงอื่นภายในกาแลกซีทางช้างเผือก ก็สามารถพุ่งทะลุแนวป้องกันที่ขอบระบบสุริยะมาได้
อันตรายของรังสีคอสมิคกาแลกซี(galactic cosmic ray) ที่ทะลุผ่านมายังโลกนั้น ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรังสีจากดวงอาทิตย์เองเนื่องจากโลกมีสนามแม่เหล็กของตัวเองไว้ป้องกันอนุภาคพลังงานสูงเหล่านั้นอยู่แล้ว   อย่างไรก็ตามสำหรับภารกิจบนดวงจันทร์หรือดาวอังคารอันเป็นเทหวัตถุในระบบสุริยะที่มีสนามแม่เหล็กความเข้มข้นต่ำหรือแทบไม่มีเลยนั้น จะเป็นอันตรายต่อสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ หรือแม้แต่ตัวนักบินอวกาศที่อยู่บนดวงจันทร์หรือดาวอังคารเอง    อย่างไรก็ตามหากดวงอาทิตย์กลับมามีกิจกรรมเชิงแม่เหล็กขึ้นอีกครั้ง  อนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์ก็มีอันตรายต่อนักบินอวกาศและดาวเทียมเช่นกัน

 


เฮลิโอสเฟียร์(Heliosphere) ของระบบสุริยะ  ยานอวกาศ Voyager ทั้ง 2 ลำ เดินทางไปถึงขอบ Termination Shock แล้ว โดนขอบด้านใต้ซึ่งยาน Voyager  2 ไปถึง อยู่ใกล้กว่าขอบทางด้านเหนือที่เป็นจุดมหายของ Voyager 1  Credit: NASA/Walt Feimer


อย่างไรก็ดี ผลการวิจัยแนะว่า ในช่วงที่ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมทางแม่เหล็กสูง  นักบินอวกาศควรปฏิบัติภารกิจในอวกาศนานกว่าในช่วงที่ ดวงอาทิตย์เงียบสงบ    เพราะช่วงที่ดวงอาทิตย์คลุ้มคลั่ง แม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ก็มีแนวทางการป้องกันอันตรายที่ง่ายกว่ากระแสรังสีคอสมิคพลังงานสูงจากนอกระบบสุริยะนั้น ยังป้องกันได้ยาก
ผลกระทบของลมสุริยะยังส่งผลไปถึงขอบขอบระบบสุริยะด้วย อันเป็นสถานที่ที่ยานอวกาศ voyager 1 และ 2 เดินทางเข้าสู่ ชั้นห่อหุ้มชั้นนอกของ heliosphere   แม้ว่า Voyager 2 จะถึงขอบระบบสุริยะช้ากว่า Voyager 1 ก็ตาม แต่กลับพบว่าขอบด้านใต้ของระบบสุริยะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์กว่าขอบด้านเหนือถึง 1.6  พันล้านกิโลเมตร อันเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าอาณาเขตรูปฟองอากาศยุบตัวลงนั่นเอง
ในขณะที่ยาน Ulysses ถูกวาดหวังให้สังเกตการณ์ดวงอาทิตย์จากระยะใกล้  แต่ตัวยานกลับต้องเผชิญกับปัญหา  เมื่อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากความร้อนกัมมันตรังสี(radioisotope thermoelectric generators)  เริ่มใช้การไม่ได้ และไม่สามารถให้ความร้อนแก่เชื้อเพลิง hydrazine ของยาน จนเชื้อเพลิงเริ่มถูกแช่แข็งแล้ว
อย่างไรก็ตามคณะทำงานอันเป็นความร่วมมือของ องค์การบริหารการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกา และองค์การอวกาศยุโรป ก็พอใจกับปฏิบัติการ Ulysses ซึ่งได้ทำภารกิจมาเป็นเวลาสี่เท่าของอายุการใช้งานที่เคยคาดกัน

ดาวภาพถ่ายแรกของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ?!!

September 18th, 2008

Adapted  from  Space.com:Possible First Photo of Planet Around Sun-like Star

คณะนักดาราศาสตร์นำโดย David Lafrenière  จากมหาวิทยาลัยแห่งโตรอนโต(University of Toronto)ประเทศแคนาดา ถ่ายภาพโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ Gemini North บนยอดเขา Mauna Kea เกาะฮาวาย  ได้ภาพดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ระบบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ 

พิภพดังกล่าวมีมวลเป็นแปดเท่าของดาวพฤหัสบดี(Jupiter)   และอยู่ห่างจากดาวฤกษ์ 1RXS J160929.1-210524 ประมาณ 330 หน่วยดาราศาสตร์(Astronomical Unit:ระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์)   โดยดาวฤกษ์ดังกล่าวมีมวลร้อยละ 85 ของดวงอาทิตย์และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 500 ปีแสง  แต่แม้จะมีมวลน้อยกว่าดวงอาทิตย์  1RXS J160929.1-210524 กลับมีอายุน้อยกว่าดวงอาทิตย์ของเรา

 

ภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์ Gemini ในย่านรังสีอินฟราเรดของดาวฤกษ์  1RSX J160929.1-210524 และดาวเคราะห์มวล 8 เท่าของดาวพฤหัสบดี  จุดสว่างด้านซ้ายมือบน  Credit: Gemini Observatory


เดิมที่ภาพถ่ายดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่เคยถ่ายได้โดยตรง เป็นของดาวฤกษ์ขนาดเล็กอับแสง ที่รู้จักกันในประเภทดาวแคระน้ำตาล(brown dwarf)  และขณะที่ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะนับร้อยซึ่งถูกตรวจพบโดยการส่าย(wobble) ของดาวฤกษ์ อันเนื่องมาจากดาวเคราะห์ที่แสงน้อยกว่าจนแทบจะมองไม่เห็นนั้นฉุดดาวฤกษ์ให้โคจรรอบจุดศูนย์กลางมวลของระบบเทหวัตถุ ดาวฤกษ์-ดาวเคราะห์  จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะถ่ายภาพโดยตรง  นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นักดาราศาสตร์สามารถถ่ายภาพดาวเคราะห์มวลมากกำลังโคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ได้โดยตรง

 

กล้องโทรทรรรศน์ Gemini North  Credit: (c)1999 By Neelon Crawford www.PolarFineArts.com


ในขั้นต่อไป นักดาราศาสตร์จำเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าดาวเคราะห์ยักษ์ดังกล่าวกำลังโคจรรอบดาวฤกษ์จริงๆ  หรือเพียงแต่บังเอิญมาอยู่มาอยู่ในบริเวณเดียวกันเท่านั้น  
ในการถ่ายภาพระบบวัตถุที่ห่างไกลระบบนี้ คณะนักดาราศาสตร์ใช้เทคโนโลยี adaptive optics ซึ่งใช้กระจกที่มีความยืดหยุ่นจำนวนมากเพื่อขจัดปัญหาแสงที่ถูกบิดเบือนอันเนื่องมาจากชั้นบรรยากาศโลก
พิภพแปลกประหลาดกับดาวฤกษ์หลักระบบนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่ออ้างอิงตามทฤษฎีกำเนิดดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน   เมื่อเปรียบเทียบกับดาวเคราะห์ที่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุดในระบบสุริยะอย่างดาวเนปจูน(Neptune) ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เพียง 3 หน่วยดาราศาสตร์ 
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงนี้มีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 1,800 เคลวิน หรือ 1527 องศาเซลเซียส ซึ่งถึงว่าร้อนกว่าดาวพฤหัสบดี ที่มีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ     160 เคลวิน หรือ -113 องศาเซลเซียส 

 


Upper Scorpius association เป็นกลุ่มดาวฤกษ์อายุน้อย  ภาพนี้ถ่ายในย่านรังสีอินฟราเรด จาก IRAS ดอกจันบนภาพแสดงตำแหน่งของดาวฤกษ์มวลมาก ซึ่งอยู่ในสังกัดกลุ่มนี้   Source: http://www.mpifr-bonn.mpg.de/staff/tpreibis/usco.html

คณะผู้ค้นพบ พบดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ในขณะที่ทำการสำรวจระบบดาว 85 ระบบ ภายใน กลุ่มดาวฤกษ์ Upper Scorpius association อันเป็นกลุ่มดาวฤกษ์อายุน้อยซึ่งก่อตัวเมื่อประมาณ 5 ล้านปีก่อน

ดาวหางประหลาดดวงใหม่อธิบายปริศนาดาวหางดวงเก่า

September 3rd, 2008

Adapted  from  Space.com: Strange New Comet Explains Old Mystery

ดาวหางฮัลลีย์(Halley ‘s comet)  ซึ่งจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทุกๆ 75 ปี  แล้วเรืองสว่างเป็นหางให้เห็นจากบนโลก  มีทฤษฎีจำนวนมากที่ล้มเหลวในการอธิบายวงโคจรย้อนกลับอันแปลกประหลาดของดาวหางดวงนี้  จวบจนกระทั่งล่าสุด นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวหางที่มีวงโคจรประหลาด อยู่ไกลออกไปนอกระบบสุริยะซึ่งอาจจะช่วยไขปริศนากำเนิดของดาวหางฮัลลีย์

 


เส้นทางโคจรของดาวหางฮัลลีย์จะสวนทางกับดาวเคราะห์ ในขณะที่ดาวเคราะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองลงจากขั้วเหนือของดวงอาทิตย์  แต่ดาวหางฮัลลีย์จะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศตามเช็มนาฬิกา Photo courtesy NASA/JPL


ดาวหาง 2008 KV42 โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยระนาบโคจรที่ทำมุมกับระนาบโคจรหลักรอบดวงอาทิตย์ของดาวเคราะห์กับดาวเคราะห์น้อย ประมาณ 104 องศา    ดังนั้นมันจึงดูเหมือนโคจรในทิศทางย้อนกลับกับเทหวัตถุอื่น ในระบบสุริยะ  เช่นเดียวกับดาหางฮัลลีย์   มันถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยกล้องโทรทรรศน์  Canada-France-Hawaii Telescope  บนเกาะฮาวาย  และได้รับการยืนยันจากผลการสังเกตการณ์โดยจากกล้องโทรทรรศน์   MMT  ในมลรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา  หอสังเกตการณ์ Cerro Tololo Inter-American Observatory (CTIO) ซึ่งมีกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 เมตร ในประเทศชิลี ตลอดจน Gemini South telescope  ในหอสังเกตการณ์ Gemini Observatory ของประเทศแคนาดาในประเทศ Chile เช่นเดียวกัน

JJ Kavelaars นักดาราศาสตร์จาก National Research Council of Canada  ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มนักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบดาวหาง 2008 KV42  กล่าวว่าดาวหางฮัลลีย์เป็นหนึ่งในดาวหางที่มีชื่อเสียงและไม่อาจอธิบายการเคลื่อนที่รวมทั้ง  แต่ตอนนี้ดาวหางดวงใหม่อาจจะช่วยไขปริศนาของดาวหางฮัลลีย์

 


เส้นทางโคจรของ 2008 KV 42 (สีแดง)  ซึ่งมีความเอียงสูงและสวนทางกับวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ Credit: CFEPS

KV42 ถูกค้นพบในขณะที่มันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 32 เท่าของระยะทางระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์   และจุดที่มันโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดกับอยู่บริเวณวงโคจรของดาวยูเรนัสเท่านั้น(Uranus)  นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าดาวหางอาจมีกำเนิดในกลุ่มเมฆออร์ต(Oort Cloud) ซึ่งเป็นวัตถุเชิงทฤษฎีที่คาดว่ากระจายกันเป็นทรงกลมล้อมรอบระบบสุริยะภายในรัศมี 1 ปีแสงจากดวงอาทิตย์ ในขณะที่ดาวฤกษ์ที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดห่างออกไปเพียง 4 ปีแสง


คณะนักดาราศาสตร์เสนอว่า ณ เวลาหนึ่งในอดีต แรงโน้มถ่วงจากดาวยูเรนัส เนปจูน หรือจากดาวฤกษ์พเนจรที่เผอิญโคจรผ่านมาใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้ดาวหางถูกเหวี่ยงออกจากวงโคจรภายในเมฆออร์ตออกห่างจากจุดเดิมประมาณ 0.1 ปีแสง มาในวงโคจรในปัจจุบัน ซึ่งคาบเกี่ยวกับแถบวัตถุคุยเปอร์(Kuiper Belt Object) อันเป็นสถานที่เทหวัตถุชนิดเดียวกันนี้ถูกค้นพบ
สมมติฐานดังกล่าวสามารถอธิบายวงโคจรในทิศย้อนทวนกับดาวเคราะห์ดวงอื่นและความเอียงของวงโคจร  หากมันกำเนิดภายในเขตทรงกลมของเมฆออร์ต ดาวหางเกือบทั้งหมดจะต้องมีวงโคจรเอียงทำมุมกับระนาบหลักของระบบสุริยะ   ส่วนดาวหางที่มีถิ่นกำเนิดภายในระนาบหลักย่อมโคจรไปในแนวเดียวกับระนาบหลักอยู่แล้ว


 
เมฆออร์ต(Oort Cloud) ซึ่งล้อมรอบระบบสุริยะอยู่  Adapted From Donald K. Yeoman’s Illustration (NASA, JPL)

ท้ายที่สุดนักวิจัยทำนายว่า KV42 สามารถถูกผลักให้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ด้วยการทำอันตรกิริยากับดาวเคราะห์วงนอกและดาวเคราะห์รุ่นใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดี(Jupiter)  เหนือกว่านั้น ทั้งฮัลลีย์และ KV42 ดูเหมือนว่าจะมีจุดจบคล้ายกัน นั่นคือถูกยิงออกไปนอกระบบสุริยะโดยแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ภายในระบบสุริยะ


เมฆประหลาดที่ขอบอวกาศ

September 3rd, 2008

Adapted  from  Space.comStrange Clouds Spotted at the Edge of Space

ภาพทัศนียภาพอันแปลกตาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเหล่ามนุษย์อวกาศซึ่งประจำอยู่ในสถานีอวกาศนานาชาติ(International Space Station) ในฤดูร้อนนี้  
เมฆบางๆ สีน้ำเงินลอยอยู่ระหว่างขอบเขตของชั้นบรรยากาศโลกและอวกาศ
   
เมฆเรืองแสง (noctilucent clouds) ซึ่งพบได้ในยามค่ำคืนเท่านั้น อยู่สูงจากพื้นประมาณ 76 ถึง 85 กิโลเมตร  ที่ซึ่งดาวตกและแสงเหนือแสงใต้(aurora) เกิดเป็นปกติ และชั้นบรรยากาศทอดตัวประสานกับความมืดของอวกาศ    เมฆดังกล่าวยังคงเป็นปริศนาทางวิทยาศาสตร์มานานกว่า 120 ปี นับจากพวกมันถูกค้นพบ


 



เมฆในชั้นเมโซสเฟียร์  ในย่านขั้วโลก หรือที่รู้จักกันในชื่อเมฆเรืองแสงยามค่ำ(noctilucent cloud)  เป็นปรากฏการณ์ในชั้นบรรยากาศส่วนบนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และถูกสังเกตได้ในช่วงฤดูร้อน ในเขตที่ละติจูดสูงกว่า 50 องศา ทั้งเหนือและใต้  ภาพนี้ถ่ายจากระดับความสูง 322 กิโลเมตร  ก่อนดวงอาทิตย์จะตกในวันที่ 22 กรกฎาคม 2008 ที่ผ่านมา  ขณะที่สถานีอวกาศนานาชาติกำลังผ่านด้านตะวันตกของมองโกเลีย  Credit: NASA


Gary Thomas นักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศ จากมหาวิทยาลัยแห่งโคโลราโด สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “มันน่ารักมาก” ขณะชมภาพที่ถ่ายจากสถานีอวกาศนานาชาติ  “และมันก็แสดงให้เห็นว่า เมฆเหล่านี้สูงจริงๆ นะ ใกล้ขอบอวกาศเลยล่ะ”   เมฆเหล่านี้อยู่ในระดับความสูงซึ่งอากาศมีความชื้นเพียง 1 ใน 1 ล้านของทะเลทรายซาฮารา(Sahara) ในทางตรงกันข้ามเมฆ cirrus ซึ่งอยู่ในระดับสูง กลับอยู่สูงจากพื้นเพียง 18 กิโลเมตรขึ้นไปเท่านั้น 
Thomas บอกว่าพวกเขามีข้อสันนิษฐานที่ว่าไอน้ำจากชั้นบรรยากาศเบื้องล่าถูกพาขึ้นสู่ด้านบน  ไอน้ำบางส่วนจากเขตร้อน ซึ่งเป็นหนึ่งในล้านส่วนของน้ำที่หนีขึ้นสู่บรรยากาศชั้นบน  หรือไม่ก็เป็นไอน้ำจาก ปฏิกิริยาออกซิเดชันของมีเทน(methane oxidation)   พบความหนาแน่นของมีเทนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 100 ปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเมฆเหล่านี้ในหลายศตวรรษก่อน 


 
เมฆเรืองแสงเหนือเทือกเขา Mt. Sabalan   ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว ความสูง 4.8 กิโลเมตร  ในด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน Photo credit: Siamak Sabet


ผู้คนค้นพบเมฆซึ่งเห็นได้ในยามกลางคืนเหล่านี้หลังจากการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัว(Krakatoa) ในอินโดนีเซีย เมื่อ พ.ศ.  2426  ทำให้เกิดภาพดวงอาทิตย์ตกอันสวยงามเนื่องจากเถ้าธุลีภูเขาไฟซึ่งลอยปะปนในชั้นบรรยากาศ  

Robert Leslie จากเซาท์แธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ พบเมฆดังกล่าวในยามเย็นของเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2428 และตีพิมพ์ผลการสังเกตการณ์ครั้งแรกในวารสาร Nature  เมฆเริ่มกระจายตัวลงมาจากทางเหนือ อย่างเช่น คาบสมุทรสแกนดิเนเวีย สกอตแลนด์ และไซบีเรีย ลงมาทางใต้  ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากรัฐวอชิงตัน และรัฐโอเรกอน ของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับบริเวณประเทศตุรกีและอิหร่าน 

 


เมฆสีฟ้าถ่ายจากสถานีอวกาศนานาชาติ  Credit: NASA/Don Pettit


นักวิทยาศาสตร์พบเมฆกระจัดกระจายไปเป็นบริเวณกว้างตลอดฤดูร้อนของย่านขั้วโลก  เมฆบางส่วนเกิดขึ้นหลังจากโศกนาฏกรรมของกระสวยอวกาศโคลัมเบีย ซึ่งน้ำปริมาณกว่า 400 ตัน จากกระสวยระเหยและลอยเลื่อนไปทางขั้วโลกใต้    ปริศนายังมากขึ้นอีกหลังจากที่ดาวเทียม Aeronomy of Ice in the Mesosphere(AIM) ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อปีที่แล้ว  ดาวเทียม AIM พบเมฆเรืองแสงลึกลับซึ่งประกอบขึ้นจากผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กกว่า 30 นาโนเมตร (เมื่อเทียบกับเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีขนาดประมาณ 10,000 นาโนเมตร  โดยเมฆดังกล่าวยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศระดับสูงตลอดเวลา  Thomas อธิบายว่า เพราะขนาดที่เล็กมากของมันทำให้แสงไม่ถูกกระเจิง และทะลุผ่านมาได้ เราจึงมองไม่เห็นเมฆนี้ 

นอกจากนี้ AIM ยังพบความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของเมฆเรืองแสงกับเมฆในชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์(tropospheric clouds)  ซึ่งปกคลุมใกล้ผิวโลก ซึ่งบ่งบอกว่าพลวัติของสภาพอวกาศในบริเวณใกล้โลกมีความแปลกประหลาดอย่างยิ่ง 
คณะนักวิจัยมุ่งศึกษาต้นกำเนิดและการกระจายตัวของเมฆซึ่งโยงใยกับรูปแบบการแปรเปลี่ยนทางอุตุนิยมวิทยากับยุคใหม่  แต่ก็ไม่ได้ละเลยปัจจัยที่เป็นไปได้อื่นๆ  อย่างเช่น มีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ จำนวนดาวตกในชั้นบรรยากาศส่วนบน และแม้แต่วัฏจักรจุดมืด 11 ปี(11 year sunspot cycle) ของดวงอาทิตย์