เดือนสิงหาคม
2552
August
2009
....
วัฏจักรสุริยะกระทบสภาพอุตุนิยมวิทยาของโลก
September 2nd,
2009
รูปแบบสภาพอากาศทั่วทั้งโลกมีบางส่วนที่เป็นผลกระทบจากวัฏจักรสุริยะ(solar
cycle) 11 ปี ชั้นบรรยากาศ
สตราโทสเฟียร์(stratosphere)
และมหาสมุทรแปซิฟิคเขตร้อน
ผลงานวิจัยนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์เข้าสู่ขอบเขตของการทำนายความหนาแน่นและปรากฎการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาโดยทั่วไป
เช่น พายุมรสุมในมหาสมุทรอินเดีย และฝนตกในแถบเขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิค
ได้หลายปีล่วงหน้า
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่สำคัญยิ่งยวดของโลก
มันแผ่รังสีความร้อนมายังดาวเคราะห์และก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของก๊าซในชั้นบรรยากาศ
ปริมาณพลังงานจากดวงอาทิตย์มีความผันแปรตลอดรอบวัฏจักร
11 ปี (วัฏจักรนี้เป็นผลมาจากจำนวนจุดมืดปรากฏ(apparent sunspots)
บนผิวดวงอาทิตย์
เช่นเดียวกับปริมาณพายุรังสีที่พุ่งเข้าประทะดาวเทียม)
แต่ทว่ารอบวัฏจักรดังกล่าวทำให้พลังงานที่ดวงอาทิตย์ส่งมาถึงโลกแตกต่างกันเพียงร้อยละ
0.1 เท่านั้น
ปริศนาสำหรับนักอุตุนิยมวิทยากำลังอธิบายกระบวนการที่ผลกระทบการผันแปรเพียงเล็กน้อย
สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในรูปแบบสภาพอากาศของโลก
แสดงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลของชั้นบรรยากาศโลกชั้นต่างๆ
Courtesy of NCAR/UCAR
คณะนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศนำโดย
National Center for Atmospheric Research (NCAR)
ใช้บันทึกสภาพอากาศที่ยาวนานกว่าศตวรรษและแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์อันทรงพลังสามแบบเพื่อรับมือกับคำถามนี้
คำตอบที่ได้จากงานวิจัยระบุว่าผลกระทบจากดวงอาทิตย์ส่งผลต่อ
น้ำในมหาสมุทรแปซิฟิคเขตร้อนและอากาศในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์
ซึ่งอยู่สูงจากพื้นผิวโลก 10 ถึง 50 กิโลเมตร
(บน)แสดงตำแหน่งของจุดมืดบนผิวดวงอาทิตย์ที่แต่ละละติจูดกับปี
จนดูคล้ายปีกผีเสื้อ
(ล่าง)
จำนวนจุดมืด(sunspot)ที่พบบนผิวดวงอาทิตย์ในแต่ละปี
จะเห็นว่าปีที่จุดมืดมากที่สุดจะห่างกันประมาณ 11 ปี
เรียกว่าวัฏจักรสุริยะ (solar cycle) credit:
Hathaway/Nasa/MSFC 2009/08
ผลการวิจัยพบว่า
การเพิ่มขึ้นของพลังงานจากดวงอาทิตย์ในช่วงที่เกิดจุดมืดมากที่สุด(solar
maximum) จะถูกดูดกลืนโดยโมเลกุลก๊าซโอโซน(ozone)
ในชั้นบรรยากาศสตราโทรสเฟียร์
ทำให้อากาศอุ่นขึ้นในสตราโทสเฟียร์เหนือเขตร้อนอันเป็นบริเวณที่แสงอาทิตย์ส่งผลกระทบมากที่สุด
พลังงานที่เพิ่มขึ้นมาจะกระตุ้นให้เกิดการปฏิกิริยาเคมีสร้างโอโซนเพิ่มเติม
และโอโซนที่เกิดใหม่ก็จะดูดพลังงานแสงอาทิตย์มากยิ่งขึ้น
เมื่ออากาศในสตราโทสเฟียร์อุ่นขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ
โดยเฉพาะในส่วนที่ใกล้ศูนย์สูตร
ลมในชั้นบรรยากาศนี้จะรุนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังชั้นบรรยากาศอื่นๆ
จนทำให้ลมในเขตร้อนมีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย
ในเวลาเดียวกันการเพิ่มขึ้นของแสงอาทิตย์
จะทำให้ผิวน้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้นเล็กน้อยในบริเวณเขตที่ติดกับเขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิค
ซึ่งไม่ค่อยมีเมฆที่บดบังแสงแดด
ความร้อนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ทำให้น้ำระเหยมากยิ่งขึ้น
และไอน้ำก็จะขึ้นไปในชั้นบรรยากาศมากยิ่งขึ้น
ความชื้นหรือไอน้ำจะถูกลมพัดพาไปยังเขตฝนทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิคเขตร้อน
ทำให้ฝนตกรุนแรงยิ่งขึ้น
และเร่งผลผลกระทบจากกลไกในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์
กล่าวได้ว่ากระบวนการทั้งสองมีส่วนขยายความรุนแรงของกันและกันมากยิ่งขึ้น
ปรากฎการณ์ลานิลญา
เกิดจากกระแสน้ำอุ่นเคลื่อนที่มาทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิค
Credit: TAO
Project Office/PMEL/NOAA
กระบวนการทั้งสองนี้ทำให้ชายฝั่งแปซิฟิคตะวันออกเย็นและแห้งแล้งกว่าปกติ
ทำให้เกิดสภาพที่คล้ายๆ กับปรากฏการณ์ ลา นิลญา (La
Nina) อย่างไรก็ตาม
ปรากฎการณ์อันเนื่องมาจากดวงอาทิตย์นี้ทำให้อากาศเย็นลง
เพียงครึ่งหนึ่งของผลกระทบจากลา นิลญา เท่านั้น
นั่นหมายความว่าผลกระทบจากวัฏจักรสุริยะต่อสภาพอากาศของโลกไม่ได้มีความรุนแรงเท่ากับวัฏจักรลา
นิลโญ่ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ตรงกันข้ามกับลา นิลญา
งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 28
สิงหาคม ศกนี้
Space.com: Sun's Cycle Alters Earth's Climate
----------------------------------------------------------