ข่าวด้านอวกาศ และดาราศาสตร์

 เดือนกันยายน 2548  

 

 

นักวิทย์สนอาจมีชีวิตบนดวงจันทร์ดาวเสาร์

Scientists Reconsider Habitability of Saturn’s Moon

 

 

September 29th, 2005

 

ที่ม   :   www.space.com

www.livescience.com : Wild Things: The Most Extreme Creatures

 

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

                เมื่อพิจารณาข้อมูลสดจากดาวเสาร์โดยยานอวกาศ Cassini  กับข้อมูลสิ่งมีชีวิตบนโลกในสภาพแวดล้อมแบบที่ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิต  ทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะพบสิ่งมีชีวิตบนดาวจันทร์ Titan ของดาวเสาร์

ภาพถ่ายชั้นบรรยากาศของดวงจันทร์ไททัน

Credit: NASA/JPL/Space Science Institute

 

                คณะนักวิทยาศาสตร์แห่ง สถาบันวิจัยตะวันตกเฉียงใต้ Southwestern Research Institute ในมลรัฐเทกซัส และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน ประกาศผลการวิเคราะห์ข้อมูลดวงจันทร์ไททันจากยานคาสสินีพบว่าบนไททันอาจมีกุญแจสำคัญในการไขประตูสู่ชีวิต อย่างเช่น แหล่งของเหลว  โมเลกุลอินทรีย์ และแหล่งพลังงานความร้อน           

                นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจไททันเนื่องจากมันมีอุณหภูมิพื้นผิว – 178 องศาเซลเซียส ซึ่งเย็นกว่าโลกเมื่อพันล้านปีก่อนที่จะมีสิ่งมีชีวิต แต่ชั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยไนโตรเจน ไฮโดรเจนกับคาร์บอนที่เป็นต้นกำเนิดของสารไฮโดรคาร์บอนที่สำคัญต่อชีวิตบนโลก  ทว่าสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายบนนั้นอาจไม่เหมาะกับชีวิตนัก

       รังสีอัลตราไวโอเลตกระตุ้นไนโตรเจนและมีเทนให้ขึ้นสู่บรรยากาศชั้นบนทำให้เกิดเมฆสีส้มและนำพากระแสสสารอินทรีย์ไปทั่วผิวดวงจันทร์ ที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ หุบเหว มหาสมุทร(มีเทน) การเคลื่อนตัวของแผ่นทวีปเฉกเช่นเดียวกับโลกยุคดึกดำบรรพ์

 

จุลชีพที่พบใต้ก้นทะเลลึก 4 กิโลเมตรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พวกมันสามารถอยู่อาศัยได้ในบริเวณที่มีความเค็มกว่าน้ำทะเลปกติถึงสิบเท่า ความดัน 400 เท่าของความดันบรรยากาศ และขาคแคลนออกซิเจน Credit: University of Essex

ภาพถ่ายจากยานสำรวจ Huygens แสดงพื้นผิวของไททันหินและของผสมระหว่างน้ำกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแช่แข็ง

Credits : ESA/NASA/JPL/University of Arizona

     สำหรับบนโลกนั้น มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “Extremophiles” ซึ่งมีชีวิตอยู่บนสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้ อย่างเช่นพบในทะเลบริเวณที่มีความเค็มถึงสิบเท่าของน้ำทะเลปกติ   สิ่งมีชีวิตที่พบในอุทยานแห่งชาติ Yellowstone ที่ไม่ต้องการธาตุอะไรอื่นนอกจากไฮโดรเจน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า psychrophiles สามารถทนอยู่ในอุณหภูมิ -5  ถึง 20 องศาเซลเซียส และใช้มีเทนในการผลิตพลังงาน

     เหล่านี้ล้วนเป็นช่วยเปิดความเป็นไปได้ที่จะพบสิ่งมีชีวิตลักษณะดังกล่าวบนไททัน.

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

..................................................

 

 

วงโคจรแบบถอยกลับของดาวอังคาร

 Mars set to reverse course

 

 

September 29th, 2005

 

ที่ม  :   www.space.com

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

                ตั้งแต่ต้นปี ดาวอังคารปรากฎบนฟ้าบริเวณกลุ่มดาวราศีพิจิก (Scorpius) ที่ระยะ 333 ล้านกิโลเมตรจากโลก   แต่ในช่วงสัปดาห์นี้ดาวอังคารจะอยู่ห่างจากโลกเพียง 80 ล้านกิโลเมตรเท่านั้น  โดยมีความสว่างกว่าเมื่อครั้งวันปีใหม่ถึง 21 เท่า  ภายในกลุ่มดาวราศีพฤษภ (Taurus)   ต่อจากนี้ดาวอังคารจะยังคงเคลื่อนไปทางทิศตะวันออกจนกระทั่งค่อยๆ หยุดในวันที่ 1 ตุลาคม   แล้วส่ายไปๆมาก อยู่ราว 2 สัปดาห์ แล้วจึงเคลื่อนกลับไปทางทิศวันตกของท้องฟ้า  จนกระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม  ดาวอังคารจะหยุดอีกครั้งแล้วเคลื่อนกลับมาทางตะวันออกอีกครั้ง 

เส้นทางโคจรของดาวอังคารในช่วงวันที่ 13 กันยายน 2548 ถึง 8 มกราคม 2549 

    ปรากฎการณ์เรียกว่า “การโคจรกลับ”  (retrograde motion)   ซึ่งเกิดขึ้นได้กับดาวเคราะห์ทุกดวง สำหรับนักดาราศาสตร์ยุคโบราณแล้วนี่เป็นปริศนาอันใหญ่หลวง   สำหรับผู้สังเกตบนโลกจะเห็นดาวอังคารเคลื่อนกลับไปมาเป็นวง

    ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ ล้วนโคจรรอบโลกเป็นวงกลมสมบูรณ์ ดังนั้นการอธิบายการเคลื่อนที่แบบโคจรกลับจึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลเท่าใดนัก   อย่างน้อยคำอธิบายสุดท้ายก็คือ ดาวเคราะห์โคจรรอบโลก และโคจรรอบจุดๆ หนึ่งซึ่งโคจรรอบโลกเช่นกัน  เรียกวงโคจรเล็กๆนั้นว่า  Epicycle   ที่มีทั้งแบบวงกลมไปจนถึงเกลียวสปริง  ทว่าแนวคิดดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการสังเกตการณ์ ดังนั้นการอธิบายนี้จึงใช้การไม่ได้

 

วงโคจรแบบ epicycle ที่ดาวอังคารโคจรรอบจุดๆ หนึ่ง บนแนวโคจรรอบโลก(เมื่อให้โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ) 

credits: http://eee.uci.edu/clients/bjbecker/ExploringtheCosmos/epicycle1.jpg

 

    จนกระทั่งในคริสตศักราช 1543  นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์นามว่า นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (1473-1543) ได้ตีพิมพ์งานทั้งชีวิตของเขาในชื่อ “De revolutionibus”  ซึ่งเปิดเผยความลับของวงโคจรแบบ Retrograde ด้วยการสาธิตให้เห็นว่าเมื่อให้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง โดยมีดาวเคราะห์อื่นๆ รวมทั้งโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์  ก็จะสามารถอธิบายปริศนาการเคลื่อนที่ถอยหลังและเคลื่อนกลับมาข้างหน้าของดาวเคราะห์ทั้งหมดได้    ซึ่งก็คล้ายๆ กับในกรณีที่เราขับรถแซงรถคันอื่นบนถนนนั่นเอง  เมื่อรถทั้งสองคันเคลื่อนที่ในทิศเดียวกัน  แต่มีอยู่คันหนึ่งที่ช้ากว่า  เมื่อถูกแซงรถคันที่ช้าก็เสมือนว่าเคลื่อนที่ถอยหลังเมื่อมองจากสายตาผู้โดยสารในรถคันที่เร็วกว่า   

 

ไดอะแกรมอธิบายการมองเห็นการเคลื่อนแบบวงกลับของดาวเคราะห์วงนอกเมื่อมองจากโลก โดยพิจารณาว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะและโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เร็วกว่าดาวอังคาร 

 Credits http://www.ap.stmarys.ca/~ishort/Images/SolSystem/PlanetMtn/Retrograde/

    ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นการเคลื่อนที่แบบนี้ของดาวอังคารคือเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2546   สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึง  โลกและดาวอังคารกำลังเคลื่อนไปในทิศเดียวกันรอบดวงอาทิตย์   ดาวอังคารที่ช้ากว่าจึงดูเหมือนว่าเคลื่อนถอยไปจากโลก(เร็วกว่า) 

    ความน่าสนใจของครั้งนี้ก็คือดาวอังคารจะเข้าสู่หยุดนิ่งในวันที่ 1 ตุลาคม ก่อนจะถอยหลังและเข้าสูจุดหยุดนิ่งที่สองในวันที่ 10 ธันวาคม แล้วค่อยๆ กลับมาทางตะวันออก

              ช่วงนี้ดาวอังคารจะปราฏกเป็นสีส้มในเหลืองบนท้องฟ้าตะวันออกในช่วงค่ำๆ  เป็นเวลาหนึ่งเดือนในช่วงที่กำลังเข้าใกล้โลก

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

..................................................

 

 

ส่วนผสมของดาวหาง

Surprises Found in Comet Recipe

 

 

September 26th, 2005

 

ที่มา   :      www.space.com 

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

          ผลวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ บ่งชี้องค์ประกอบของดาวหาง Tempel 1  ที่ถูกยิงโดยยาน  Deep Impact ไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา “เราเผยรายการส่วนผสมของดาวหางที่จะถูกใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิจัยในอีกหลายปีข้างหน้า”  Carey Lisse แห่งห้องทดลองฟิสิกส์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ อธิบายก่อนหน้านี้รายงานผลการศึกษา Tempel 1 จากกล้องโทรทรรศน์นับสิบกล้องถูกประกาศออกไป  โดยมีข้อสรุปว่า Tempel 1 เป็นลูกบอลปุกปุย  กว่าร้อยละ 50 เป็นเกล็ดน้ำแข็ง กล้องถ่ายภาพรังสีอินฟราเรดบนสปิตเซอร์ถูกใช้เพื่อติดตามสสารที่กระจายออกมาจากการชนของ Deep Impact เพื่อขยายผลการศึกษาพื้นฐานนั้น ทีมวิจัยของ Lisse พบองค์ประกอบมาตรฐานของดาวหาง  ที่น่าสนใจก็คือมันมีดินเหนียวกับคาร์โบเนตรวมอยู่ด้วย ซึ่งนักดาราศาสตร์ไม่เคยคาดมาก่อนว่าจะพบองค์ประกอบเหล่านี้เนื่องเพราะการที่สารทั้งสองชนิดจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีน้ำในสถานะของเหลวอยู่ในกระบวนการด้วย

       “ดินเหนียวกับคาร์โบเนตเกิดขึ้นบนดาวหางที่ถูกแช่แข็งได้อย่างไร”  “เรายังไม่ทราบแน่ชัด  แต่การมีอยู่ของมันมีนัยยะว่า  ระบบสุริยะยุคดึกดำบรรพ์ ต้องคละเคล้าปนเปกันไปด้วยสสารนานาชนิด นั่นรวมไปถึงสสารที่ควรจะเกิดในบริเวณใกล้ๆ ดวงอาทิตย์อย่างน้ำ(ของเหลว) และสสารที่ถูกแช่แข็งจากบริเวณใกล้ๆ ดาวยูเรนัสกับดาวเนปจูนถึงได้มารวมกันในวัตถุชิ้นเดียวกันได้นักวิทยาศาสตร์หวังว่าเมื่อทราบส่วนผสมใหม่นี้แล้วจะส่งผลดีต่อการจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ สำหรับการศึกษาการกำเนิดของระบบสุริยะ ทั้งดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์และเทหวัตถุอื่นๆ   รวมไปถึงระบบดาวอื่นๆ ด้วย “ขณะนี้ เราเลิกเดาได้แล้วว่าข้างในดาวหางมีอะไร” Mike A’Heam  แห่งภารกิจ Deep Impact  และนักดาราศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ กล่าว “ข้อมูลเหล่านี้ Lisse จะเสนอผลการศึกษาในการประชุมประจำปีครั้งที่ 37 ของแผนกดาวเคราะห์วิทยา ของสมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน(American Astronomical Society) ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายน 2548  ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  สหราชอาณาจักร

http://www.astroschool.in.th/1024size/high/morning/news/detail_news_inc.php?id=265

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

..................................................

 

 

ดาวเคราะห์เกิดใหม่รอบดาวฤกษ์ที่สิ้นชีพ

Strange Activity Surrounds Dying Star

 

September 26th, 2005

 

ที่ม   :      www.space.com

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

                นักดาราศาสตร์พบดาวฤกษ์ที่ใกล้สิ้นอายุขัย ทว่ากลับมีฝุ่นผงซึ่งอุดมไปด้วยโลหะโคจรอยู่รอบๆ  ต้นกำเนิดของฝุ่นเหล่านั้นยังคงเป็นปริศนา เช่นเดียวกับที่พวกมันควรถูกดูดเข้าไปในดาวภายในไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า

ด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาด  8 เมตร  Frederick C. Gillett แห่งหอสังเกตการณ์ Gemini บนยอดเขา Mauna Kea และภาพถ่ายสเปคตรัมในช่วงอินฟราเรดกลาง (mid-infrared)

 

ขนาดเปรียบเทียบระบบดาว GD362  ดาวแคระขาวขนาดเท่าโลกล้อมรอบด้วยจานฝุ่นขนาดเท่าวงแหวนดาวเสาร์

 Credit: Jon Lomberg, Gemini Observatory

แม้ว่าวัตถุผิดปกตินี้จะอยู่ห่างจากโลก 82  ปีแสง และมีอายุหลายพันล้านปี  นักดาราศาสตร์หลายคนยังเชื่อว่ามันอาจให้ภาพในอนาคตของระบบสุริยะ เมื่อดวงอาทิตย์สูญเสียสภาพดาวฤกษ์ในอีก 6 พันล้านปี ข้างหน้า 

ระหว่าง 3 – 5 พันล้านปีก่อน  GD362  เคยเป็นดาวฤกษ์ชนิดเดียวกับดวงอาทิตย์   อันมีมวลเป็น 7 เท่าของดวงอาทิตย์  ซึ่งวาระสุดท้ายของมันนั้น แกนกลางของดาวจะกลายเป็น “ดาวแคระขาว”   ส่วนก๊าซที่ห่อหุ้มแกนกลางจะกระจายตัวออกไป ความร้อนที่หลงเหลืออยู่จะแผดเผาฝุ่น หิน และดาวเคราะห์ให้กลายเป็นจานฝุ่นล้อมรอบดาวแคระขาว   จากนั้นดาวแคระขาวก็จะดูดฝุ่นเหล่านั้นลงไปใหม่พร้อมทั้งแผดเผาให้กลายเป็นเถ้าภายในไม่กี่ร้อยปี

ภาพจำลอง GD362  ดาวเคราะห์บริวารของดาวแคระขาวกำลังปลดปล่อยมวลสารออกมาเป็นจานฝุ่น

 Credit: Jon Lomberg, Gemini Observatory

 แต่เมื่อ GD362 ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว 5 พันล้านปี  ดูเหมือนว่าฝุ่นจะไม่ถูกเผาจนหมดไป  นักดาราศาสตร์ยังคงฉงนว่าเหตุใด  ซากดาวขนาดเท่าโลกดวงนี้จึงยังคงมีฝุ่นล้อมรอบเป็นวงแหวนเช่นเดียวกับดาวเสาร์มาเนิ่นนานถึงขนาดนี้  นอกจากนี้บางคนยังเชื่อว่ามันจานฝุ่นที่อุดม ไฮโดรเจน  ฮีเลียม หรือธาตุที่หนักกว่าอย่าง แคลเซียม โซเดียม ออกซิเจน เหล็ก และแมกนีเซียมไปด้วย กำลังเกิดระบบดาวเคราะห์  ดาวเคราะห์น้อย หรือแม้แต่ดาวหาง รอบๆ ซากดาวนั้น

การมีอยู่ของจานฝุ่นอธิบายได้ว่า ดาวเคราะห์บริวารเคลื่อนเข้าใกล้ดาวแคระขาว แรงไทดัลจากดาวแคระขาวจะฉีกกระชากดาวเคราะห์ให้หลุดเป็นชิ้นๆ    ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดกับโลกในวันใดวันหนึ่งถ้าดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้โลก หรือเคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของวงแหวนดาวเสาร์   อีกแนวคิดหนึ่งคือเกิดจากดาวหางโคจรเข้าใกล้ดาวแคระขาวแล้วถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จนกลายเป็นฝุ่นทิ้งไว้ตามรายทาง

แรงไทดัล คือแรงที่ใช้อธิบายน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก ซึ่งเป็นผลจากแรงโน้มถ่วงลัพธ์ที่บนผิวดาวไม่เท่ากัน  หากวัตถุสองชิ้นที่ขนาดไม่เท่ากับศูนย์เข้ามาใกล้กันแรงไทดัลระหว่างวัตถุทั้งสองอาจมากพอจะฉีกกระชากดาวให้ฉีกเป็นชิ้นได้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักดาราศาสตร์พบกลุ่มฝุ่นล้อมรอบดาวแคระขาว ย้อนกลับไปในปี 2530 Zukerman และทีมงาน พบ G29-38  ซึ่งเป็นดาวแคระขาวที่มีวงแหวนฝุ่น  แต่มันมีปริมาณฝุ่นน้อยกว่า GD362 ถึง 100 เท่า

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

...................................................

 

 

ข้างในดาวเคราะห์น้อย Ceres อาจมีน้ำแข็ง

 An icy interior of Ceres?

 

September 22th, 2005

 

ที่ม  :    www.astronomy.com

Stardust Eyes in The City of Angel

 

                Ceres เป็นดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยซึ่งวางตัวอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส   มันมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 952 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในแถบดาวเคราะห์น้อย   นอกจากนี้ มันยังมีความหนาแน่นต่ำ  สะท้อนแสงอาทิตย์ได้น้อย (สัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงต่ำ)   และภาพถ่ายสเปคตรัมที่ชี้ว่าองค์ประกอบภายในของดาวเคราะห์น้อยไม่ค่อยซับซ้อนนัก   

 

 

 ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เท่ารัฐเทกซัส ซึ่งถือเป็นดาวเคราะห์ขนาดย่อม  ภาพจากกล้องฮับเบิล เมื่อธันวาคม 2003 และ มกราคม 2004 แสดงลำดับภาพการหมุนของดาวNASA/ESA/STScI/J. Parker, P. Thomas, and L. McFadden; composite: Francis Reddy

             ทีมวิจัยนำโดย Peter Thomas แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล์ ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลถ่ายภาพ Ceres เมื่อธันวาคม 2546 และ มกราคม 2547   แล้ววิเคราะห์รูปร่างของ Ceres ผลการศึกษาพบว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีสมมาตรต่อการหมุน (เมื่อพิจารณาแต่ละลองจิจูด)  สิ่งนี้ชี้ว่ารูปร่างของ Ceres ถูกกำหนดโดยสมดุลทางอุทกสถิตย์ (hydrostatic equilibrium)  ซึ่งความหนาแน่นมวลสารถูกควบคุมโดยความดันภายในวัตถุดาวเคราะห์น้อยเดียวกับดาวฤกษ์  และดาวเคราะห์  ทั้งดาวเคราะห์ก๊าซอย่างดาวพฤหัสหรือดาวเคราะห์หินแบบโลก 

 

  

 

ดาวเคราะน้อย Ceres อยู่ในแถบเข็มขัดดาวเคราะห์น้อย(Asteroid belt) ซึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส 

 Credit : http://www.crystalinks.com/asteroid.html

 

        นักดาราศาสตร์บางท่านคิดว่ารูปร่างของเทหวัตถุที่ถูกกำหนดโดย สมดุลทางอุทกสถิตย์ สามารถเป็นกุญแจแยกแยะความแตกต่างระหว่างดาวเคราะห์กับดาวเคราะห์น้อย  ถ้าหากเรายอมรับแนวคิดนี้  Ceres ก็สมควรจะเป็นดาวเคราะห์

        การวัดรูปร่างของดาวเคราะห์น้อยให้ข้อมูลที่บ่งชี้องค์ประกอบภายในดาวได้   นอกจากมันจะเหมือนกับทรงกลมสมบูรณ์แล้ว  ดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์(หรือดาวเคราะห์น้อยในกรณีของ Ceres)  ยังมีความแป้น  โดยการเปรียบเทียบระยะจากศูนย์กลางถึงศูนย์สูตรและขั้ว  นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดความแป้นซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างภายในของดาวได้เช่นกัน

 

ภาพถ่ายในช่วงคลื่นอัลตราไวโอเลตของ Ceres โดยกล้องฮับเบิล   ลูกศรชี้ทิศทางของดวงอาทิตย์  แนวเหนือ(N) ตะวันออก (E)  แต่ละภาพเรียบตามเฟสการหมุนรอบตัวเองด้วยคาบ 9.075 ชั่วโมง  Credits: Southwest Research Institute

 

        Ceres มีความหนาแน่นเฉลี่ย 2.077 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร (ประมาณสองเท่าของน้ำ)   ถ้าหากเทหวัตถุนี้มีความหนาแน่นสม่ำเสมอที่รัศมีที่ขั้วควรเล็กกว่ารัศมีศูนย์สูตร เป็นระยะ 39.7 km ทว่าในความเป็นจริงรัศมีที่ขั้วเล็กกว่ารัศมีศูนย์สูตรเพียง 32.6 กิโลเมตร  นี่เป็นหลักฐานเด็ดที่ชี้ว่ายังมีชั้นสสารที่แตกต่างออกไปอยู่ภายใน  ในความเป็นจริงความเป็นเพียงเล็กน้อยนี้บ่งบอกว่าภายในดาวเคราะห์น้อยมีชั้นแมนเทิลและแกนกลาง

        ทีมวิจัยของ Peter พัฒนาแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของโครงสร้างภายใน Ceres โดยอาศัยข้อมูลจากการสำรวจ  พวกเขาพบว่า  Ceres มีแกนกลางเป็นหินหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นน้ำแข็งหนาถึง  124  กิโลเมตร โดยน้ำแข็งคิดเป็นมวล 1 ใน 4 ของมวล Ceres ทั้งหมด

        สเปคตรัมของดาวเคราะห์น้อยไม่ปรากฏสัญญาณของน้ำบนผิวดาว  แม้จะมีน้ำแข็งบนผิวดาวมันก็จะระเหยออกสู่อวกาศอย่างรวดเร็ว

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

.........................................................

 

 

ข้อมูลดาวเคราะห์ดวงที่ 10  แห่งระบบสุริยะ   Part 1

Object bigger than Pluto discovered,called 10th planet

 

 

September 19th, 2005

 

ที่มา          Gemini Observatory Shows that “10th Planet” Has a Pluto-Like Surface

                www.space.com 

                www.Skyandtelescope.com : astronomer discover 10th planet

 

                จากรายงานการค้นพบวัตถุที่คาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงใหม่   2003UB 313 โดยศูนย์ดาวเคราะห์น้อยแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Minor Planet Center ,Cambridge)  มลรัฐแมสซาชูเซท   เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 

 

 

ภาพจำลองแสดงพื้นผิว 2003 UB 313 ที่อาจมองเห็นได้จากอวกาศ   Gemini Observarory Image/Jon Lomberg

 

     ภาพถ่ายสเปคตรัม ของ  2003UB 313   เมื่อ 25 มกราคม  2548  โดย Chad  Trujillo หนึ่งในทีมงานของหอสังเกตการณ์ Gemini  และหนึ่งในกลุ่มนักวิจัยที่ค้นพบวัตถุท้องฟ้าดวงนี้  ร่วมกันบMike Brown จากสถาบันเทคโนโลยีคาลิฟอร์เนีย(Caltech)  และ David Rabinowitz จากมหาวิทยาลัยเยล  

      แม้ว่าทีมผู้ค้นพบยังคงไม่สามารถคำนวณขนาดที่แน่นอนของเทหวัตถุใหม่นี้ แต่จากการประมาณคร่าวๆ  โดยตั้งสมมติฐานว่าหากวัตถุนี้มีสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงอาทิตย์ (Albedo) ร้อยละ 100   พบว่ามันมีขนาดเท่ากับดาวพลูโตหรือใหญ่กว่านั้น  

 

ขนาดวงโคจรโดยประมาณ (บน) และเปรียบเทียบขนาดดาว (ล่าง)  โดยประมาณ  สำหรับ ระนาบวงโคจรของ 2003UB313   ทำมุม 45 องศากับระนาบของระบบสุริยะ ขณะที่ระนาบวงโคจรของพลูโตอยู่ที่ 15 องศา

 

    2003UB313 อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะ 97 AU   (Astronomical Unit : ระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์)   หรือคิดเป็นสามเท่าของระยะทางระหว่างดาวพลูโตถึงดวงอาทิตย์   อันเป็นตำแหน่งที่ไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์  การคำนวณพบว่าอีก 280 ปีข้างหน้ามันจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดที่ระยะ 56 AU และมีคาบการโคจร  560 ปี

     ดาวเคราะห์ดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2547  จากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 เมตร   Samuel Oschin ณ เทือกเขา Palomar  มลรัฐคาลิฟอร์เนีย

 

เปรียบเทียบเส้นสเปคตรัมของพลูโตกับ 2003 UB 313   ลูกศรสีแดงหมายถึงเส้นสเปคตรัมแบบดูดกลืนที่บ่งชี้การมีอยู่ของมีเทนบนผิวดาวเช่นเดียวกันทั้งสองดวง  

2005UB313 Gemini Observatory /Trujillo, Brown and Rabinowitz  

Pluto ( Rudy et al. 2003).

 

    เพื่อศึกษาลักษณะพื้นผิวของดาวเคราะห์  ทีมวิจัยใช้ภาพถ่ายสเปคตรัม จากอุปกรณ์ถ่ายภาพสเปคตรัมในช่วงคลื่นรังสีใต้แดงความยาวคลื่นใกล้สีแดง  ซึ่งติดตั้งบนกล้องโทรทรรศน์ Gemini North ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 8 เมตร บนยอดเขา  Mauna Kea  ณ เกาะฮาวาย   สเปคตรัมที่ได้ ชี้ว่า มี  มีเทนในสถานะถูกแช่แข็งดังภาพ

   การมีอยู่ของมีเทนในสถานะของแข็งแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดึกดำบรรพ์นั้นไม่ได้รับความร้อนมากพอที่จะระเหยมีเทนได้ มานานนับ 4,500 ล้านปี นับแต่ระบบสุริยะกำเนิดมา    แต่ถ้า 2003 UB 313 เคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์   มีเทนแช่แข็งจะระเหยอย่างรวดเร็ว     

    เท่าที่นักวิทยาศาสตร์ทราบ  มีเทนที่พบในวัตถุในแถบ Kuiper  Belt  มีเพียงมีเทนบนดาวพลูโต และดวงจันทร์ Triton ของดาวเนปจูน  เท่านั้น

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

....................................................

 

 

ข้อมูลดาวเคราะห์ดวงที่ 10  แห่งระบบสุริยะ   Part 2

Object bigger than Pluto discovered,called 10th planet

 

 

September 19th, 2005

 

ที่มา         Gemini Observatory Shows that “10th Planet” Has a Pluto-Like Surface

                www.space.com 

                www.Skyandtelescope.com : astronomer discover 10th planet

 

    ช่วงที่มีการประกาศการค้นพบ 2003 UB313 เกิดความสับสนในข่าวสารเนื่องจากก่อนหน้านี้ ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2548  ทีมของ Brown  ได้ประกาศผลการศึกษาวัตถุที่ชื่อว่า 2003 EL61 ซึ่งห่างจากดวงอาทิตย์ 52 AU   ถูกค้นพบโดย Jose-Luis Ortiz  จาก หอสังเกตการณ์เซียร์ร่า เนวาด้า ในสเปน     2003 EL61  เป็นวัตถุที่ใหญ่เป็นอันดับสามในแถบเข็มขัดไคเปอร์ ด้วยขนาดประมาณร้อยละ 70  ของพลูโต(ประมาณ 1500 กิโลเมตร, รองจากพลูโตและ 2003 UB313)

 

เปรียบขนาดของ 2003 EL 61 กับโลก ดวงจันทร์ พลูโต  Quaoar และ Sedna  

http://www.gps.caltech.edu/~mbrown/2003EL61/

 


                 ทีมของ Brown พบมันในวันที่ 28 ธันวาคม 2547  (หลังจากวันคริสต์มาสเพียง 3 วัน) จึงตั้งชื่อเล่นว่า Santa  การสำรวจด้วยกล้อง Keck ในเดือนมกราคม 2548  พบว่า 2003 EL61 มีดวงจันทร์ขนาดเล็กโคจรรอบด้วยวงโคจรเกือบกลม  ด้วยคาบ 49 วัน ที่ระยะ 49,500 กิโลเมตร จากดาวแม่   2003EL61  มีมวลประมาณหนึ่งในสี่ของพลูโต(ประมาณ 4 ล้านล้านล้านตัน) ส่วนดวงจันทร์บริวารมีมวลเพียงร้อยละ 1  ของมวลรวมทั้งระบบ    2003 EL61 ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของคาบการโคจรอยู่เลยวงโคจรของพลูโตออกไป และอีกครึ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าพลูโต 

                เมื่อวันที่ 22 กรกฏาคม 2548 ทีมของ Brown ใช้กล้องสปิตเซอร์ถ่ายสเปคตรัมของ 2003UL 61 และพบหลักฐานว่ามีน้ำแข็งบนผิวดาว  คล้ายกับบนดวงจันทร์ Charon บริวารของพลูโต   

 

วงโคจรของ 2003 UB 313 (สีแดง) เทียบกับวงโคจรของ Sedna (เส้นสีขาวรูปไข่)

 

                หลังจากการค้นพบ Sedna มาจนถึง 2003 UB 313  ณ วงโคจรอันห่างไกลจากดวงอาทิตย์  ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ  “ดาวเคราะห์คืออะไร”    วัตถุหลายชนิดในระบบสุริยะของเราส่วนมากเรามั่นใจได้ว่ามันมิใช่ดาวเคราะห์ เช่น  ดาวหาง(Comet)  ดาวเคราะห์น้อย (asteroids or minor planets) ดวงจันทร์ (Satellites)  ฝุ่น (dust grains)   อนุภาคมีประจุ (charged particles)  

                บางคนกล่าวว่า Pluto ไม่ควรจะเรียกว่าดาวเคราะห์   ด้วยขนาดที่เล็กเกินไป  วงโคจรที่รีมาก  และระนาบวงโคจรที่เอียงทำมุมกับระนาบระบบสุริยะ   แต่พลูโตก็ถูกบรรจุให้เป็นดาวเคราะห์เพราะว่ามันมีดวงจันทร์บริวารเหมือนๆ กับดาวเคราะห์ทั้งหลาย และประกอบขึ้นจากสสารแบบเดียวกับสสารในดาวเคราะห์ทั่วไป  

 

ขยายวงโคจรของดาวเคราะห์ทั้งเก้า และ 2003UB313 (สีแดง) จะเห็นว่ามันโคจรตัดเข้าไปในวงโคจรของดาวพลูโต แต่ระนาบวงโคจรทำมุมเอียงกับระนาบระบบสุริยะ 45 องศา


                อีกหลายคนเสนอว่าให้
“ปลด” พลูโตออกจากความเป็นดาวเคราะห์   รวมถึง 2003 UB 313  , Sedna  และวัตถุอื่นๆที่คล้ายกัน   แต่ข้อเสนอนี้เป็นอันตกไป 

                2003 UB 313 มีจุดที่แตกต่างจากพลูโต คือ มีขนาดใหญ่กว่าพลูโตเล็กน้อย   อยู่ในแถบ Kuiper Belt  ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะ 3 เท่าของดาวพลูโต   ระนาบวงโคจรเอียงถึง 44 องศา ซึ่งถือว่าเอียงมากเมื่อเทียบกับพลูโตที่เอียงเพียง 17 องศา  ไม่เพียงแต่ 2003UB313 เท่านั้นแต่รวมไปถึงวัตถุอื่นๆ ที่คล้ายกันด้วย   แม้ว่ายังมิมีข้อสรุปในวันนี้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ระบบสุริยะมากขึ้น และอาจมีสิ่งที่น่าตกใจรอให้เราสำรวจพบอีกได้

                Mike Brown และทีมงาน จะรายงานผลการศึกษาทั้งหมดในการประชุมประจำปีครั้งที่ 37  ของ แผนกดาวเคราะห์วิทยาของสมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน(American Astronomical Society) ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายน 2548  ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  สหราชอาณาจักร

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

........................................................

 

 

ฝนดาวตกสิงโต

Leonids Meteor shower

 

 

September 15th, 2005

 

เรียบเรียงจาก

http://stardate.org/nightsky/meteors/

http://comets.amsmeteors.org/meteors/november_radiants.html

http://www.amsmeteors.org/showers.html

 

                โดยทั่วไปดาวตก  คือ หิน ฝุ่นผง น้ำแข็ง  จากอวกาศที่ถูกดึงตกลงมาในชั้นบรรยากาศโลกแล้วเสียดสีกับชั้นบรรยากาศจนกลายเป็นลูกไฟพาดผ่านท้องฟ้าที่ความสูง 80 ถึง 30 ไมล์จากพื้น  ด้วยขนาดดังกล่าวดาวตกเหล่านั้นจึงถูกเผาไหม้จนหมด  น้อยครั้งที่ดาวตกเหล่านี้จะลงสู่พื้นกลายเป็นอุกกาบาต   

       ดาวตกเหล่านี้เกิดขึ้นทุกคืนทุกวันอยู่แล้ว แต่หากว่าจำนวนดาวตกทวีจำนวนขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเป็นประจำทุกปี  เราเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่าฝนดาวตก   

 

ฝนดาวตกสิงโต เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2541  ถ่าย ณ Monteromano ประเทศอิตาลี   ในรูปจะเห็นว่าดาวตก 8 ดวง พาดผ่านกลุ่มดาวนายพราน  Credits : Lorenzo Lovato 

 

                โดยทั่วไปเศษซากฝุ่นผง หรือน้ำแข็ง ที่ดาวหางทิ้งเอาไว้ตามทางที่มันบินผ่าน เป็นแหล่งกำเนิดของฝนดาวตกอย่างดีทีเดียว  เมื่อโลกโคจรตัดเข้าไปในแนววงโคจรของดาวหางเหล่านั้น  แรงโน้มถ่วงของโลกก็จะดึงเอาสิ่งที่ดาวหางทิ้งไว้ตกลงมา ทำให้คนบนโลกมองเห็นดาวตกชุกกว่าปกติ   ฝนดาวตกดังกล่าวมักปรากฏให้เห็นว่ามีจุดศูนย์ ณ จุดใดจุดหนึ่งบนท้องฟ้า   

                ฝนดาวตกทั่วไปจะได้รับการเรียกขาน ตามกลุ่มดาวที่ศูนย์กลางของฝนดาวตกอยู่  ตัวอย่างเช่นฝนดาวตกสิงโต หรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids Meteor shower) มีศูนย์กลางของดาวตกภายในกลุ่มดาวราศีสิงห์ (Leo)    ฝนดาวตกเปอร์ซีอิดส์ ก็มีศูนย์กลางอยู่ภายในกลุ่มดาวเปอร์ซีอุส (Perseus)

 

แสดงศูนย์กลางของฝนดาวตกสิงโต จะเห็นว่าแนวการเคลื่อนที่ของดาวตก  พุ่งมาจากบริเวณท้องฟ้าย่านกลุ่มดาวสิงโต

http://news.bbc.co.uk/cbbcnews/hi/sci_tech/newsid_2491000/2491159.stm

 

                แต่ฝนดาวตกที่คนไทยมีโอกาสได้ชม ส่วนใหญ่จะเป็นฝนดาวตกที่เกิดในช่วงฤดูหนาว    (ส่วนฝนดาวตกในช่วงฤดูฝนคนไทยมีโอกาสชมได้น้อยมากเนื่องจากเราจะได้ชมหยดน้ำฝนแทน) โดยเฉพาะฝนดาวตกที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ   ฝนดาวตกสิงโต (Leonids)  ปีนี้จะเกิดในช่วงวันที่ 13 – 20  พฤศจิกายน  และตกชุกที่สุดในวันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 20:17 น. (เวลาประเทศไทย)  ซึ่งเป็นเวลาที่กลุ่มดาวราศีสิงห์ยังไม่พ้นขอบฟ้าของประเทศไทย   กลุ่มดาวราศีสิงห์จะขึ้น ณ ขอบฟ้าตะวันออกของไทย ในเวลาประมาณ 23:40   น.  ซึ่งเป็นเวลาที่ผ่านช่วงที่ฝนตกหนาแน่นที่สุดไปแล้ว   ทว่าอุปสรรคยังไม่หมดเพราะว่าในวันนั้น  เป็นวันแรม 1 ค่ำ   (16 พฤศจิกายน เป็นวันเพ็ญ)   และดวงจันทร์จะอยู่ในกลุ่มดาววัว (Taurus)  ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลกลุ่มดาวสิงโตมากนัก 

 

 

ขณะที่กลุ่มดาวสิงโต (Leo) พ้นขอบฟ้า ดวงจันทร์วันแรมก็อยู่ในกลุ่มดาววัว ซึ่งอาจส่งแสงรบกวนการมองเห็นดาวตกไม่มากก็น้อย 

Credits : Program Sky Chart  3.51

 

                ฝนดาวตกสิงโต เป็นฝนดาวตกที่คาดคำนวณความหนาแน่นได้ยาก  โดยทั่วไปช่วงที่เกิดหนาแน่นจะเวียนมาทุกๆ 33 ปี  โดยช่วงที่หนาแน่นที่สุดเกิดตั้งแต่ปี 2541 – 2545   ในขณะที่ปีนี้คาดกันว่าอัตราการเกิดอยู่ที่ 20 ดวงขึ้นไป ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง

                แต่ในปีหน้าคาดการณ์กันว่าจะมีอัตราการเกิด 60 ดวงต่อชั่วโมง ในคืนวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549  เวลา 2:11 นาที(เช้ามืดวันที่ 18 พฤศจิกายน)  ตรงกับวันแรม 12 ค่ำ เดือน 11  (วันเพ็ญ ตรงกับ  5 พฤศจิกายน 2549) 

                ต่อจากนั้นคาดว่าจะไม่มีฝนดาวตกสิงโตที่มีอัตราการเกิดสูงในช่วงปี พ.ศ. 2576 หรือ  2609  แต่จะเกิดสูงสุดอีกครั้งในปี  พ.ศ. 2642  

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

.........................................................

 

 

 

กล้อง Spitzer ครบรอบสองปีกับดาราจักรแขนเดียว

Spitzer Turns Two

 

September 15th, 2005

 

ที่ม  :   www.space.com

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

             เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2546  กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ถูกส่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดเพื่อเป็นแสงสว่างให้กับวงการดาราศาสตร์อีกดวงหนึ่ง   ชั่วระยะเวลาเพียงสองปี ด้วยดวงตาที่สามารถมองเห็นในย่านรังสีใต้แดง(Infrared)  ได้ช่วยเปิดเผยดาราจักรที่หลบเร้นและอุดมไปด้วยแหล่งอนุบาลดาวฤกษ์ที่อบอุ่น   จานฝุ่นรอบดาวฤกษ์ที่กำลังให้กำเนิดดาวเคราะห์อย่างป่วนปั่น  และดาราจักรอันสวยสดงดงาม รวมไปถึงดาราจักรอันโดดเด่นที่เรารู้จักกันมาก่อนแล้วอย่าง NGC 4725  

               

NGC 4725  ในช่วงรังสีใต้แดง โดยกล้องสปิตเซอร์ เกิดจากการรวมภาพที่ถ่ายในช่วงความยาวคลื่น 3.6 ไมครอน (น้ำเงิน)  4.5 ไมครอน (สีเขียว)  5.8 ไมครอน (สีแดง) และ 8.0 ไมครอน (สีแดง) 

 Image credit: NASA/JPL-Caltech

 

             ภาพดาราจักรแปลกประหลาดนี้เคยเชื่อกันว่าเป็นดาราจักรแขนเดียว  ดาราจักรแขนเกลียวส่วนมากมันมีแขนเกลียวสองแขนหรือมากกว่า   นักดาราศาสตร์ชี้ว่า NGC 4725 เป็นดาราจักรวงแหวนแขนเกลียวที่มีบาร์  ดังจะเห็นได้จากวงแหวนครบรอบพอดีที่บาร์ซึ่งยื่นออกมาจากนิวเคลียสของดาราจักรนี้  

  

                ดาราจักร NGC 4725 ในช่วงแสงที่ตามนุษย์มองเห็น  credit : Libby Harrell/Adam Block/NOAO/AURA/NSF

 

                บาร์ของดาราจักรนี้วางตัวในแนวนอน ซึ่งมีร่องรอยสีแดงจางๆ ปรากฏพาดผ่านนิวเคลียส   ดาราจักรทางช้างเผือกของเราดูเหมือนว่าจะมีหลายแขน และดูเหมือนว่าที่นิวเคลียสจะมีบาร์และวงแหวนเล็กๆ ด้วย

                ภาพถ่ายที่จงใจให้สีเพี้ยนรายนี้  ให้สีแขนเกลียวเป็นสีแดง ขณะที่ศูนย์กลางและฮาโลเป็นสีน้ำเงิน   สีแดงแสดงให้เห็นว่าเป็นกลุ่มเมฆฝุ่นอันเป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์รุ่นใหม่  ขณะที่สีน้ำเงินคือดาวฤกษ์เก่า และมีอุณหภูมิต่ำกว่า     ริ้วสีแดงซึ่งแผ่ออกมาจากแขนเป็นกลุ่มดาวฤกษ์ที่ถูกผลักเข้าหากันด้วยสนามแม่เหล็กที่ไม่เสถียร

 

หลายครั้งที่ Spitzer เปิดเผยความลับเบื้องหลังด้วยรังสีอินฟราเรด

  อย่างเช่นกลุ่มก๊าซร้อนสามกลุ่มที่ไม่อาจมองเห็นได้ในช่วงแสงขาว(Visible Light)

                 NGC  4725  อยู่ห่างจากโลก 42 ล้านปีแสง ไปทางกลุ่มดาว Coma Berinices หรือ “ผมของเบเรนิซ”  

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

..........................................................

 

 

ดวงอาทิตย์ไม่เคยสงบอย่างแท้จริง

Sun Kicks Up Major Flare, More Expected

 

September 12th, 2005

 

ที่ม :  www.space.com 

       www.nasa.gov : Huge Solar Flare Spotted

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

                ดวงอาทิตย์เกิดการลุกจ้าที่ผิว(Flare) ซึ่งรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา เมื่อวันพุธที่ 7  กันยายน  และคาดว่าอาจจะมีการประทุครั้งต่อๆ ไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  ส่วนดาวเทียมสื่อสาร หรือดาวเทียมปฏิบัติงานอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในอีกราวสองสัปดาห์  

ภาพในช่วงรังสีเอกซ์  แสดงจุดสว่างด้านขวาซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการลุกจ้า (Solar Flare)

Credit: NOAA/SXI

 

                การลุกจ้า(flare)ครั้งนี้เกิดการระเบิดจากบริเวณจุดดับ 808  ซึ่งกำลังหมุนหันหน้าเข้ามาหาโลกพอดี   มีอัตราความรุนแรง X-17   ซึ่งจัดว่ารุนแรงมากเป็นครั้งที่ 5 นับแต่เมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งน้อยครั้งที่  Flare จะมีอัตราความแรงเกินกว่า X-10   มันประทุขึ้นมาจากจุดดับ Sunspot ที่บริเวณขอบดวงอาทิตย์   ดังนั้นขณะที่รังสีเอ็กซ์และรังสีอื่นๆเดินทางมาถึงโลกภายในไม่กี่นาที  แต่สสารที่ถูกพ่นออกมาจากบริเวณดังกล่าวยังไม่พุ่งเข้าหาโลกโดยตรง 

  

ภาพถ่ายรังสีเอกซ์ในอีกสองวันถัดมาจะเห็นว่าจุดที่เกิดการลุกจ้าหมุนเข้ามายังศูนย์กลางภาพเรื่อยๆ Credit: NOAA/SXI

                การลุกจ้าถูกตรวจพบเมื่อเวลา 6:40 PM ตามเวลาสากล หรือราว 1:40 AM ตามเวลาประเทศไทย   ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้คือ   ความเสียหายของระบบสื่อสารด้วยความถี่สูงทางด้านกลางวันของโลก  ซึ่งรวมไปถึงสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ หรือที่ใดก็ตามที่แสงอาทิตย์ส่องถึงในเวลานั้น   แม้แต่ระบบนำทางความถี่ต่ำก็ถูกรบกวนด้วย

                การลุกจ้าความเข้มสูงนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับ coronal mass ejections (CMEs)  ซึ่งมักจะเกิดตามหลังมาไม่กี่ชั่วโมงหรือราวสองวันนับจากที่ตรวจพบ Flare   

                CMEs เป็นกลุ่มอนุภาคมีประจุที่ถูกผลักออกมาจากดวงอาทิตย์และขยายตัวตลอดระยะทางที่มันเดินทางมาคล้ายฟองสบู่  เมื่อกลุ่มอนุภาคเหล่านั้นมาถึงโลกมันจะก่อกวนสนามแม่เหล็กโลก  ทำให้ดาวเทียมเสียหาย  เกิดแสงเหนือแสงใต้ (Aurora) และแม้แต่ก่อกวนระบบส่งไฟฟ้าบนโลกด้วย  โชคยังดีที่จุดที่เกิดการประทุไม่ได้ชี้ตรงมายังโลก  การขยายตัวของกลุ่มอนุภาคดังกล่าวจึงแค่เฉียดโลกเท่านั้น

 

กราฟแสดงความเข้มของรังสีเอ็กซ์ในช่วงความยาวคลื่น 0.1-0.8  นาโนเมตร และ 0.05-0.4 นาโนเมตร 

                ทว่าขณะที่จุดดับดังกล่าวเริ่มหันหน้ามาทางโลกตามการหมุนของดวงอาทิตย์แล้วเกิดการประทุด้วยความรุนแรงอีกครั้งล่ะก็ นั่นย่อมทำให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าจุดดับคือบริเวณสนามแม่เหล็กถูกบิดโค้ง อุณหภูมิต่ำกว่าผิวดวงอาทิตย์โดยรอบจึงมองดูเหมือนว่ามันมีสีดำ

                แม้ว่าขณะนี้ดวงอาทิตย์จะอยู่ในช่วงที่เกิดกิจกรรมบนผิวดาวต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี  ด้วยปริมาณจุดดับที่เกิดได้น้อยและการประทุที่ไม่บ่อยครั้งนัก แต่การประทุแต่ละครั้งก็รุนแรงไม่แพ้ในช่วงที่ดวงอาทิตย์คึกคักที่สุดเช่นกัน

                      การประทุครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงทศวรรษนี้คือเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2546 ด้วยความรุนแรง X-40  เกิดที่ขอบดวงอาทิตย์และส่งผลกระทบน้อยนิดต่อโลกเช่นกัน  เป็นที่น่าเสียดายว่ากล้อง SOHO อยู่ระหว่างการซ่อมบำรุงในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้พลาดการเก็บ

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

..........................................................

 

 

แสงอาทิตย์ยุคแรกกำเนิดโมเลกุลอันซับซ้อน

Proto-Sunshine at Work

 

September 12th, 2005

 

ที่ม  :    www.skyandtelescope.com

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

              ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีภายในหินอุกกาบาตโบราณ  นักวิทยาศาสตร์พบว่าก๊าซที่รวมตัวกันเป็นดวงอาทิตย์นั้นส่องสว่างมานานกว่า 4.5 พันล้านปีแล้ว  จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายในมวลสารของระบบสุริยะ   

 

 

http://faculty.fortlewis.edu/tyler_c/classes/206/notes3.htm

แสดงการคือกำเนิดของดาวอาทิตย์ตามแนวคิดที่สอง  ดวงอาทิตย์ส่องสว่างที่ดาวเคราะห์จะก่อตัวสมบูรณ์

    นักดาราศาสตร์คิดว่าดวงอาทิตย์  ดาวเคราะห์  ดวงจันทร์ รวมถึงดาวเคราะห์น้อย ต่างก็กำเนิดมาจากแผ่นจานก๊าซที่หมุนวน หรือรู้จักกันดีในนาม  Solar Nebula   โชคไม่ช่วยนักดาราศาสตร์ตรงที่พวกเขารู้เรื่องราวในยุคนั้นน้อยมาก   สสารในยุคนั้นต่างถูกหลอมละลายสลับกับควบแน่นเป็นของแข็งหลายต่อหลายครั้งจนแทบไม่เหลือหลักฐานบอกใบ้ตกมาถึงปัจจุบัน  อย่างไรก็ตาม  Vinai  K. Rai, Teresa L. Jackson  และ  Mark H. Thiemens  นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย  ซานดิเอโก  แถลงว่าพวกเขาสามารถถอดรหัสย้อนหาหลักฐานที่บ่งบอกสภาพระบบสุริยะในยุคปั่นป่วนนั้นได้ ด้วยการตรวจวัดปริมาณไอโซโทปทางเคมีซึ่งจะชี้บ่งถึงปริมาณการแผ่รังสีเหนือม่วง(อัลตราไวโอเลต)   พวกเขาพบว่าในยุคนั้นดวงอาทิตย์แผ่รังสีเหนือม่วงไปทั่วปริมณฑล  พร้อมทั้งปลดปล่อยอนุภาคพลังงานสูงไปตามลมสุริยะก่อนที่ดาวเคราะห์จะถือกำเนิดขึ้น

 

 ภาพศิลป์แสดงดวงอาทิตย์กำลังแผ่รังสีเหนือม่วงไปทั่วไปบริเวณ   รังสีดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายในกลุ่มก๊าซรอบดวงอาทิตย์ที่จะกลายเป็นดาวเคราะห์  ดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์น้อย  Credits: NASA

     มีสองเหตุการณ์ที่เป็นไปได้  หนึ่ง  ดวงอาทิตย์เกิดก่อนแต่ยังไม่สมบูรณ์จากนั้นดาวเคราะห์จึงเกิดตามมาและเสร็จสมบูรณ์ก่อนดวงอาทิตย์จะส่องสว่าง  สองคือดวงอาทิตย์กำเนิดแล้วส่องสว่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วดาวเคราะห์จึงเกิดตามมาภายหลัง  ในกรณีหลังนั้นดวงอาทิตย์สามารถแผ่รังสีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายในระบบสุริยะได้แล้ว   ผลจากกระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดโมเลกุลที่ซับซ้อนรวมไปถึง โมเลกุลอินทรีย์ด้วย

 

ในเนบิวลา  Trapezium แห่งกลุ่มดาวนายพราน (Orion)  เป็นแหล่งที่มีดาวฤกษ์เกิดใหม่อยู่นับไม่ถ้วน ที่กำลังแผ่รังสีมาเผาไหม้อะตอมหรือโมเลกุลก๊าซเช่นเดียวกับในระบบสุริยะยุคเริ่มต้น  Credits : John Bally et al. and NASA

     นักวิจัยกลุ่มนี้พบว่าปริมาณไอโซโทป  ซัลเฟอร์(กำมะถัน) 33 สามารถชี้บ่งความเข้มของรังสีเหนือม่วง รวมไปถึงอนุภาคในลมสุริยะได้   และนอกจากดวงอาทิตย์ของเราเองนั้น  การแผ่รังสีจากดาวฤกษ์เพื่อบ้านที่มวลมากๆ ก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายในระบบสุริยะยุคแรกเช่นกัน

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

........................................................

 

 

นักล่าซูเปอร์โนวาระดับแชมป์พบ ซูเปอร์โนวาลำดับที่ 40 ของตัวเอง

Supernova Champ Makes 40th Find

 

 

September 9th, 2005

 

ที่ม  :   www.skyandtelescope

               

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

                คืนวันที่ 4 สิงหาคม เดือนก่อน นักล่าซูเปอร์โนวาระดับตำนาน Robert O. Evans  ได้ค้นพบซูเปอร์โนวาลำดับที่ 40 ของตัวเอง  

 ในขั้นต้น Evans  พบจุดสว่างที่คาดว่าน่าจะเป็นดาวฤกษ์ที่ค่าความสว่างอันดับที่ 14 ภาย  ในดาราจักรแขนเกลียวแบบมีบาร์ NGC 1559   จากกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงแบบนิวโตเนียนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 นิ้ว   แต่เมื่อเปรียบเทียบกับภาพถ่าย NGC 1559 ในคลังข้อมูลกลับไม่พบดาวดวงนี้  จึงเชื่อได้ว่ามันคือซูเปอร์โนวา  

 

    ซูเปอร์โนวา 2005df  คือจุดสว่างด้านบนดาราจักร NGC 1559  (ใต้แถบสีเหลือง)   ดาราจักรดังกล่าวอยู่ใกล้กับดาราจักรเมฆแมกเจลเลนใหญ่ (Large Magellanic Cloud)   NGC1559 มีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์  10,000 ล้านดวง ห่างจากโลก 50 ล้านปีแสง    ภาพนี้เป็นการรวมภาพถ่าย จากกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาด  8.2 เมตร  ณ ESO   Courtesy European Southern Observatory

 

    Evans  ค้นพบซูเปอร์โนวานี้จากภายในสวนหลังบ้านของเขาเอง ใน Hazelbrook  มลรัฐ New South Wales   ซึ่งห่างจากเมือง Sydney ไปทางตะวันตกเพียง 100 กิโลเมตร 

    กลวิธีในการค้นหาซูเปอร์โนวาของเขาก็คือการบันทึกภาพดาราจักรและเทหวัตถุข้างเคียงที่ความสว่างต่ำสุด ณ ค่าความสว่างลำดับที่ 15 (สำหรับค่าความสว่างตัวเลขมากยิ่งแสงริบหรี่  นั่นคือ ค่าความสว่างลำดับที่ -1 ย่อมสว่างกว่าความสว่างลำดับที่ 1 )  ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจสอบภาพการระเบิดของดาวฤกษ์ได้อย่างรวดเร็ว   

    NGC 1559  เมื่อครั้งยังไม่เกิดซูเปอร์โนวา SN2005df  ในช่วงแสงขาว ความสว่างปรากฎ 10.4  เป็นดาราจักรแขนเกลียวหลวมแบบมีบาร์ (SBc)  http://www.spiral-galaxies.com/Galaxies-Reticulum.html

 

                Evans เริ่มรายงานการค้นพบอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี  2524    จวบจนปัจจุบันเขารายงานการเกิดซูเปอร์โนวามาครบ 40 แห่ง   10 แห่ง มาจากกล้องสะท้อนแสงขนาด 10 นิ้ว  18 แห่ง จากกล้องขนาด  16 นิ้ว    3 แห่ง จากกล้องขนาด 40 นิ้ว ที่หอสังเกตการณ์ Siding Spring  ที่เหลือจากกล้อง 12 นิ้ว 

                นอกเหนือจากนี้  Evans  ยังพบซูเปอร์โนวาเกินกว่า 5 แห่ง กับดาวหางอีกหนึ่งดวงอีกด้วย โดย 4   ซูเปอร์โนวา กับ 1 ดาวหาง จากภาพถ่ายของ UK Schmidt  และ หนึ่งซูเปอร์โนวาจากภาพถ่ายของ ESO Red Survey  อังเป็นความร่วมมือระหว่างนักดาราศาสตร์สมัครเล่นกับมืออาชีพ

Robert O. Evans กับกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาด 12 นิ้ว 

Courtesy Michael Schwartz / Tenagra Observatories, Ltd

 

                SN 2005df  เป็นซูเปอร์โนวาชนิด Type Ia เนื่องจากภายในเวลาไม่กี่วันมันเพิ่มความสว่างจนถึงค่าสูงสุด   ซูเปอร์โนวาชนิด Ia เกิดจากการระเบิดภายในระบบดาวคู่แบบใกล้ชิดซึ่งหนึ่งในสมาชิกนั้นเป็นดาวแคระขาวที่ดูดกลืนเอามวลจากคู่หูของมันจนกระทั่งถึงค่ามวลวิกฤติ ยังผลให้เกิดความไม่เสถียรดาวแคระขาวนั้นจึงยุบตัว แล้วระเบิดออกมาเป็นซูเปอร์โนวา

                ในวันที่ 6 สิงหาคม  เพียงสองคืนจากการค้นพบโดย Evan    Dietrich Baade และ Ferdinando Patat  (หอสังเกตการณ์ซีกโลกใต้แห่งยุโรป)  Lifan Wang (ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley)  และทีมงาน ใช้กล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาด 8.2 เมตร  ณ  หอสังเกตการณ์ซีกโลกใต้แห่งยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ที่ Cerro Paranal ประเทศชิลี   ทำการตรวจวัด Polarization จากแสงของ SN2005df    การวิเคราะห์ขั้นต้นพบว่าการขยายตัวของจุดแสงไม่สมมาตร(ไม่เป็นทรงกลม)  ซึ่งจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวัดระยะทางเชิงเอกภพวิทยา

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

.................................................................

 

 

ตะลึง!! จำนวนดาวแคระน้ำตาลในทางช้างเผือกมีถึง แสนล้านดวง

100 Billion Brown dwarfs

 

September 9th, 2005

 

ที่ม  :   www.astronomy.com

               

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

              หลังจากตามหากันมาหลายทศวรรษ  นักดาราศาสตร์พึ่งนิยาม “ดาวแคระน้ำตาล” ได้เมื่อ 10 ที่แล้ว    ขณะนี้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้ผลออกมาว่าภายในดาราจักรทางช้างเผือกของเรามีดาวฤกษ์ซึ่งล้มเหลวในการจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็นดาวฤกษ์ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์  

    ดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ทั่วไป สร้างพลังงานได้ด้วยตนเองโดยการเปลี่ยนนิวเคลียสอะตอมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม  ในทางตรงกันข้ามดาวแคระน้ำตาลนั้นมีมวลน้อยกว่าร้อยละ 8 ของมวลดวงอาทิตย์  พวกมันจึงไม่สามารถเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ดังกล่าวได้  มีแต่เพียงการเปลี่ยนพลังงานอันเนื่องมาจากความโน้มถ่วงไปเป็นความร้อน แล้วเรืองแสงสีแดงจนกระทั่งเย็นลงเรื่อยๆ    ตัวอย่างดาวแคระน้ำตาลที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ดาวพฤหัสบดี นั่นเอง

 

 

 ดาวแคระน้ำตาลหลายดวงอาจอยู่ใกล้โลกมากว่าระบบนี้ ซึ่งโคจรรอบ Epsilon Indi ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 11.8 ปีแสง Gemini Observatory / AURA

     Russel Ryan, Jrl,  Nimish Hathi,  Seth Cohen  และ Rogier  Windhorst แห่งมหาวิทยาลัยอริโซนา  ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล ในช่วงรังสีใต้แดงความยาวคลื่นสั้น (Near-infrared)   เพื่อค้นหาดาวแคระน้ำตาลภายใน 15 ทิศทาง ทั้งเหนือและใต้ระนาบทางช้างเผือก  แล้วพบดาวอับแสงจำนวน 28 ดวง ซึ่งมีสีแดงและมีชนิดสเปคตรัม L และ T   มีความสว่างเป็นลำดับโชติมาตรที่ 21 ถึง 25

            แสดงองค์ประกอบของทางช้างเผือก จากภาพจะเห็นว่า Thin Disk อยู่ถัดออกมาจาก Thick Disk ในบริเวณแขนเกลียว  http://www.usd.edu/phys/courses/phys187/notes/milkyway/milkyway.htm 

    ดาวแคระน้ำตาลเป็นสมาชิกของ Thin Disk เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน  Thin Disk  มีความหนา 2000 ปีแสง วางตัวอยู่เหนือและใต้ระนาบทางช้างเผือกไม่มานัก สำหรับดาวแคระน้ำตาลคาดว่าอยู่ในบริเวณ Disk ที่มีความหนา 2,280± 330  ปีแสง

    สเปคตรัมของดาวแคระน้ำตาล GI570D  (สีม่วง) และดาวแคระแดง Wolf 359 (สีแดง)  จะเห็นว่าสเปคตรัมจากดาวสามารถบ่งชี้ชนิดและก๊าซองค์ประกอบในชั้นบรรยากาศของดาวได้ http://www.astro.ucla.edu/~irlab/ImageGallery.html

     การสำรวจประชากรดาวแคระน้ำตาลโดย Ryan และชาวคณะ  ดาวแคระชนิดสเปคตรัม  L และ T  ประมาณอย่างหยาบๆ มีจำนวนถึง  100 พันล้านดวง  ซึ่งเทียบได้กับดาวฤกษ์ทั้งหมดภายในทางช้างเผือก 

     แม้จะเป็นจำนวนที่น่าประทับใจยิ่ง ทว่าดาวแคระน้ำตาลทั้งแสนล้านดวงนี้ก็ไม่ได้ทำให้มวลรวมของดาราจักรทางช้างเผือกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  ดังนั้นจึงไม่อาจนับพวกมันเป็นหนึ่งในสมาชิกของ สสารมืด (Dark Matter)  กลุ่มวิจัยของ Ryan ประมาณการว่าดาวแคระน้ำตาลทั้งหมดมีมวลรวมเท่ากับดวงอาทิตย์ 1  พันล้านดวง  ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.1 ของมวลดาราจักร  อย่างไรก็ตามดาราจักรของเรามีมวลนับ ล้านล้านล้าน เท่าของดวงอาทิตย์ และส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสสารมืด

     Ryan และทีมงานกำลังจะตีพิมพ์งานของพวกเขาในนิตยสาร Astrophysical Journal Letters

 

 

แปลโดย   วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

.........................................................

 

 

มังกรบนฟากฟ้า

 Dragon in the Sky  

 

September 5th, 2005

 

ที่ม       www.skyandtelescope.com

http://www.gemini.edu

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

         เนบิวลาที่รู้จักกันแพร่หลายอย่าง เนบิวลาอเมริกาเหนือ (North America : NGC7000) และเนบิวลาหงส์ (Swan : M17)  ได้รับการขานนามตามลักษณะรูปร่างที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่มันได้รับชื่อ    ด้วยประเพณีการตั้งชื่อดังกล่าวนักดาราศาสตร์ทั้งหลายจึงพร้อมใจกันเรียก NGC6559 แห่งกลุ่มดาวราศีธนู (Sagittarius)  ว่า  เนบิวลามังกร (Dragon Nebula)

                      NGC 7000 หรือ เนบิวลาอเมริกาเหนือ ภาพนี้ถ่ายผ่านแผ่นกรองแสงช่วงความยาวคลื่นสเปคตรัม H-Alpha  Credits : http://www.ngc7000.org/ccd/bn-ngc7000.html

 

 

                เนบิวลาหงส์ อยู่ในกลุ่มดาวราศีธนู (Sagittarius)  ภาพนี้ถ่ายในช่วงคลื่นที่ก๊าซไฮโดรเจนซึ่งถูกไอออไนซ์ (H II)  โดยรังสีเหนือม่วง (Ultraviolet) จากดาวฤกษ์รุ่นใหม่ อุณหภูมิสูง เบื้องหลัง    กลุ่มเมฆนี้ดูคล้ายหงส์ที่กำลังลอยบนผิวน้ำ โดยดาวฤกษ์สว่างด้านซ้ายบนของกลุ่มเมฆดูเหมือนตาของหงส์นั่นเอง ส่วนลำตัวทอดแทยงจากมุมซ้ายล่างขึ้นมาด้านขวาบน

 

 

 

 

                                                  เนบิวลามังกร NGC6559    Courtesy Gemini Observatory.

                 ภาพถ่ายเนบิวลามังกรนี้ บันทึกผ่านกล้องโทรทรรศน์ Gemini South Telescope ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตร ประเทศชิลี   เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม  และถ่ายผ่านแผ่นกรองแสงสีช่วงความยาวคลื่น  สีน้ำเงิน(Filter g)  สีเขียว (Filter R)  สีเหลือง(Filter I ) และสีแดง(Filter H-Alpha)  ด้วยระยะเวลาเปิดหน้ากล้องรับแสง 480, 480, 480 และ 1,200 วินาที ตามลำดับ  แล้วนำมารวมกันเป็นภาพเดียว   ครอบคลุมพื้นที่ 5.5 x 4.1 ตารางลิปดา  โดยทิศเหนือคือด้านซ้ายมือ    แสดงเส้นสายของกลุ่มเมฆฝุ่นอุณหภูมิต่ำ สีดำสนิท ที่บดบังแสงดาวเบื้องหลังไว้ราวกับภาพเงา (Silhouetted)  ของเทพมังกรจีนอันน่าเกรงขาม

                เริ่มจากส่วนหัวด้านมุมซ้ายบน แล้วทอดตัวลงมาทางมุมขวาล่างเป็นระยะประมาณ 7 ปีแสง  แสงเรืองสีแดงด้านหลังของ NGC6559  คือบริเวณที่มีการก่อกำเนิดดาวฤกษ์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งห่างจากโลกออกไป 5000 ปีแสง  ในภายทิศทางศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือก 

 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

...........................................................

 

 

หลักฐานชี้ดาวฤกษ์มวลมากเกิดแบบเดียวกับดาวมวลน้อย

Massive Star in the Making

 

September 5th, 2005

 

ที่ม  :   www.skyandtelescope.com

www.space.com : Star birth Reconsidered

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

 

                    ซ้าย : ภาพศิลป์แสดงกลุ่มก๊าซที่หมุนเป็นวนรอบแกน Protostar  ก่อนตกไปรวมกับ Protostar  และลำก๊าซที่ถูกพ่นออกมาจากแกนหมุนทั้งสองทิศทาง  ขวา : ภาพถ่ายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นระดับ Submillimeter ของ Protostar มวลมาก ในกลุ่มดาว Cepheus  แสดงหลักฐานของจานก๊าซและลำก๊าซที่ถูกพ่นออกมา(เส้นโครงร่างสีน้ำเงิน จากคลื่นวิทยุ)  ที่ชี้ว่าดาวฤกษ์มวลมากสร้างตัวจากแผ่นจานก๊าซเช่นเดียวกัน   Artwork courtesy David Aguilar (Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics). Data graphic courtesy Nimesh A. Patel (Harvard-Smithsonian) and Nature.

                 หลังจากพยายามมากว่า 10 ปี นักดาราศาสตร์ก็ทราบแล้วว่าดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์มีกำเนิดมาอย่างไร   ภายในจานคล้าย แพนเค้ก ของธุลีและก๊าซ  ที่เรียกว่า Accretion Disk  ดาวฤกษ์ค่อยๆ เติมโตภายใน ขณะที่ลำมวลสารถูกพ่นออกมาตามแกนหมุนทั้งสองทิศทาง  โดยเพิกเฉยต่อแรงหนีศูนย์กลางซึ่งควรจะเป็นแรงที่ป้องกันการรวมตัวของก๊าซสู่ดาวฤกษ์ที่ศูนย์กลางจานฝุ่น  อย่างไรก็ดีหลักฐานทั้งหมดจากภาพถ่ายโดยกล้องฮับเบิลยืนยันแนวคิดนี้อยู่แล้ว   แต่สำหรับที่มาที่ไปของดาวฤกษ์มวลมากอย่างน้อย 8 เท่าของมวลดวงอาทิตย์นั้นยังคงเป็นปริศนาประการหนึ่ง    เนื่องจากดาวฤกษ์ลักษณะนี้หาได้ยาก และมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ตามทฤษฎีแล้วเมื่อแสงความเข้มและพลังงานสูงจาก protostar  จะยับยั้งไม่ให้มวลสารจากจานฝุ่นตกลงไปอีก ทำให้แบบจำลองจานฝุ่นไม่สามารถอธิบายการกำเนิดของดาวฤกษ์มวลมากได้  ดังนั้นจึงเกิดข้อสันนิษฐานว่าดาวฤกษ์มวลมากเกิดจากการรวมตัวของดาวฤกษ์ขนาดเล็กหลายๆ ดวง

 

 

            กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Submillimeter ณ ยอดเขา Mauna Kea ในฮาวาย  ทำการรวบรวมสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงระหว่างคลื่นวิทยุและรังสีใต้แดงจากฝุ่นและสารประกอบเคมีในแหล่งอนุบาลดาวฤกษ์  Courtesy Jonathan Weintroub and the Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics.

 

                  อย่างไรก็ตามเมื่อใช้กลุ่มกล้องโทรทรรศน์วิทยุ Submillimeter Array  ณ เทือกเขา Mauna Kea นักดาราศาสตร์พบหลักฐานที่ช่วยยืนยันอย่างหนักแน่นว่าดาวฤกษ์มวลมากมีกำเนิดมากจาก Accretion Disk เช่นกัน    ดังรายงานในนิตยสาร Nature ฉบับวันที่ 1 กันยายน โดย Nemesh A. Patel,  Salvador Curiel, T. K. Sridharan จากศูนย์ดาราฟิสิกส์ Harvard-Smithsonian  และผู้ร่วมงานอีกเจ็ดคน   โดยศึกษาระบบดาว Cepheus A HW2 อันเป็น protostar ที่มีมวล 15 เท่าของมวลดวงอาทิตย์  ที่ถูกล้อมรอบด้วยฝุ่นและก๊าซจำนวนมหาศาล

 

                ก่อนหน้านี้เครือข่าย MERLING ได้ทำการศึกษา MASER จากระบบดาวนี้และได้ค้นพบการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของสัญญาณ MASER ที่ได้ การศึกษาครั้งนั้นพบว่าสัญญาณ MASER นี้ชื่อว่านี่เป็นระบบ Protostar   (After Gallimore et al. 2002, astro-ph/0211462).

                   ก่อนหน้านี้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ Very Large Array  ได้สัญญาณของลำก๊าซร้อนที่ถูกพ่นออกมาตามแกนหมุนของ protostar ใน Cepheus A HW2  ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ในช่วงแสงที่ตามนุษย์มองเห็น    “เมฆก๊าซที่หมุนจนเป็นจานฝุ่นและก๊าซที่ถูกพ่นออกมาเป็นลำ เป็นหลักฐานที่แสดงว่าทฤษฎี Accretion Disk สามารถใช้ได้กับการสร้างดาวเคราะห์มวลมาก”   Barbara A. Whitney ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำเนิดกาวฤกษ์ แห่งสถาบัน Space Science  หนึ่งสมาชิกของ Patel

                 

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

...........................................................

 

 

 

แหล่งกำเนิด Cosmic Dust

Source of Cosmic Dust Found

 

September 2, 2005

 

ที่ม        www.space.com

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

         นักวิจัยพบว่าสามารถบ่งชี้แหล่งกำเนิดของ Cosmic Dust ซึ่งถูกส่งเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งก็คือ Meteoroids นั่นเอง  นอกจากนี้ผลงานวิจัยชิ้นใหม่ยังแสดงให้เห็นว่าขนาดของธุลีฝุ่นที่เกิดตามเส้นทางที่ Meteoroid เคลื่อนผ่านนั้นใหญ่กว่าที่เคยเชื่อกัน

 

               

                Cosmic Dust Grain  จากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน ขนาดน้อยกว่า 100 ไมครอน   Credit : Photograph and caption, NASA.

 

                Meteoroid คือเศษหิน ขนาดตั้งแต่เท่าทรายจนถึงกรวดแม่น้ำที่บินว่อนไปทั่วระบบสุริยะ  บางก้อนก็ตัดเข้ามาในวงโคจรของโลกและแทรกผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศปรากฏเป็นเส้นสว่างบนฟ้าที่เรียกว่า ดาวตก(Shooting Star) ซึ่งตามติดด้วยเมฆฝุ่นอนุภาค (Cosmic Dust)

                นานมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์คิดว่าอนุภาคเหล่านี้ควรมีขนาดไม่กี่นาโนเมตร  ทว่า Andrew Klekociuk แห่ง Australian Antarctic Division และทีมงานได้ศึกษาเมฆฝุ่นอันเกิดจาก Meteoroid ขนาดใหญ่ แล้วพบว่าอนุภาคฝุ่นเหล่านี้มีขนาด 10 -20 ไมครอน  ซึ่งใหญ่กว่าที่เคยเชื่อกันนับพันเท่า

               

                Cosmic Dust รูปทรงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง  300  ไมครอน  Courtesy of Don Brownlee (University of Washington)

 

                เมื่อวันที่ 3 กันยายน ปีที่แล้ว อุกกาบาตขนาดใหญ่ประมาณการมวลตั้งต้นไว้ที่ 1 ล้าน กิโลกรัม   พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศโลก พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังงานมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ 14 กิโลตัน   ไม่เพียงแต่เส้นแสงสว่างขณะที่มันผ่านชั้นบรรยากาศแต่มันยังทิ้งเมฆควันหรือฝุ่นไว้เป็นทางยาวพาดผ่านท้องฟ้าตั้งแต่ระดับความสูง  18 – 56 กิโลเมตร  และยังคงอยู่ในสภาพเมฆฝุ่นนั้นนานนับสัปดาห์  

                “ยังมีความไม่แน่นอนในจำนวนมวลสารของ Meteoroid เหล่านั้นที่ผ่นเข้ามาในโลก บางทีอาจจะ 40 ±20  พันตันต่อปี”  Kleociuk กล่าวกับทีมข่าว Space.com  “เหตุการณ์ที่เราศึกษานี้ใช้ตัวอย่างมวลขนาด 1 พันตัน

                ในการคำนวณขนาดของอนุภาคฝุ่น Klekociuk และทีมวิจัย ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Light Detetion and Ranging (LIDAR)  ซึ่งทำงานเหมือนกับ Radar เพียงแต่ทำงานในช่วงคลื่นแสงไม่ใช่คลื่นวิทยุอย่าง Radar

 

 

 

                    ฝนดาวตก Perseid  เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา   ดาวตกเหล่านี้ก็เป็นแหล่งกำเนิดของ Cosmic Dust เช่นกัน

 

               ด้วยอุปกรณ์ดังกล่าว ทำให้พวกเขาสามารถวัดขนาดและรูปร่างของอนุภาคฝุ่นโดยศึกษาจากการกระเจิงและโพลาไรซ์แสงจากลำแสงเลเซอร์    ผลการสังเกตการณ์นี้เข้ากันได้พอดีกับแบบจำลองทางทฤษฎีสำหรับอนุภาคต่างขนาด รูปร่าง และองค์ประกอบทางเคมี

                รายละเอียดงานวิจัยนี้สามารถติดตามได้ในนิตยสาร Nature ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม ศกนี้

                ก่อนหน้านี้เป็นที่เชื่อกันว่าอนุภาคฝุ่นขนาดใหญ่จาก Meteoroids  นั้นเกิดมาจากการรวมตัวของอนุภาคในก้อนเมฆเป็นเวลานานนับสัปดาห์   อย่างไรก็ดีงานวิจัยชิ้นล่า บอกว่าอนุภาคฝุ่นเหล่านี้ใหญ่มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

                “ในกรณีของเรา ขนาดของอนุภาคที่หลงเหลืออยู่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกิดจากวิธีการธรรมดาๆ อย่างการควบแน่นหรือหลอมรวม”  Klekociuk อธิบาย

                โดยสัมพันธ์กับขนาดและจำนวนรวม   Cosmic Dust กับอนุภาคในชั้นบรรยากาศมีศักยภาพมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อสภาพอุตุนิยมวิทยาของโลก  พวกมันสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์  ซึ่งจะทำให้โลกเย็นลง  หรือแม้แต่ดูดกลืนแสงอาทิตย์จนโลกอุ่นขึ้นก็ได้เช่นกัน  นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เกิดเมฆฝนได้อีกด้วย

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

..................................................................

 

 

ร่องรอยสายน้ำบนดาวอังคาร

Water Flowed Recently on Mars

 

September 2, 2005

 

ที่ม        www.space.com

Stardust Eyes in The City of Angel รายงาน

 

         ภาพถ่ายจากยาน Mars Global Surveyor  แสดงร่องรอยลำธารสายน้อยๆ อันเนื่องมาจากระแสน้ำ  และเป็นจุดที่น่าสนใจในการค้นหาสิ่งมีชีวิต  ปัญหาก็คือร่องรอยนี้เกิดขึ้นมานานเท่าใดแล้ว และหากมันเกิดเมื่อเมื่อไม่นานมานี้ ก็จะมีคำถามว่าทำไมน้ำบนดาวอังคารจึงอยู่ในสภาพของเหลวได้นานพอที่จะทำให้เกิดร่องรอยดังกล่าว      ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์รายงานว่ามีน้ำในรูปน้ำแข็งอยู่มากมายบนดาวอังคารทั้งที่ขั้วดาว และใต้ผิวดาว  

 

                        ร่องรอยบนดาวอังคารซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดจากการไหลของน้ำเมื่อไม่นานมานี้   Credit : NASA

 

น้ำถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการสร้างชีวิต  ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าอาจมีบางสิ่งหลบซ่อนอยู่ใต้ผิวดาวที่ซึ่งน้ำแข็งใต้ผิวดาวละลายเป็นของเหลว

งานวิจัยใหม่ๆ ด้วยการจำลองทฤษฎีโดยคอมพิวเตอร์แสดงให้เห็นว่าน้ำบนดาวอังคารสามารถอยู่ในสภาพฟองน้ำบนผิวดาว จากนั้นก็ไหลเป็นระยะสั้นๆ ก่อนระเหยไปในชั้นบรรยากาศที่เบาบางและเยือกเย็น    

 

                          ภาพจำลองเหตุการณ์หากมนุษย์เดินทางไปยังดาวอังคาร ก็จะใช้อุปกรณ์ขุดเจาะเพื่อหาน้ำใต้ดิน

                          Image Credit: John Frassanito and Associates

 

“ร่องรอยดังกล่าวบ่งบอกว่าปัจจุบันบนดาวอังคารมีน้ำใกล้ผิวดิน  และจึงน่าสนใจสำหรับการสำรวจด้านดาราชีววิทยา ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”  Jennifer Heldmann   หัวหน้านักวิจัยจากศูนย์วิจัย Ames ของนาซา อธิบาย  “ลำธารดังกล่าวย่อมมีความสำคัญในการสำรวจโดยมนุษย์เนื่องจากมันเป็นบริเวณที่เชื่อถือได้ว่าอาจมีใต้ผิวดินในสถานะของเหลว ซึ่งสามารถเจาะลงไปสำรวจได้”

ในการที่จะนำมนุษย์ขึ้นไปอาศัยระยะยาวอย่างมีศักยภาพจะเป็นต้องมีแหล่งน้ำสำหรับดื่มและแยกออกเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเพื่อเดินทางกลับ 

 

 

เปรียบเทียบร่องรอยบนดาวอังคารกับร่องรอยบนโลก Images Credit: NASA/JPL/Malin Space Science Systems

 “ถ้าน้ำในสถานะของเหลวสามารถโผล่ขึ้นมาบนผิวดาวอังคาร มันจะสามารถไหลเป็นทางได้ 500 เมตร” Heldmann อธิบาย “เราพบว่าร่องรอยดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่น้ำถูกแช่แข็งทันทีทันใด จากนั้นระเหยอย่างรวดเร็วจนมีสภาพใกล้เคียงของเหลวบริสุทธิ์” 

ในอากาศความดันต่ำบนดาวอังคาร  น้ำสามารถเดือดได้ภายในชั่วพริบตา  จึงเป็นที่น่ากังขาว่าร่องรอยดังกล่าวอาจเกิดจากธารน้ำแข็งก็ได้

 

แปลโดย  วัชราวุฒิ  หน่อแก้ว  ภาควิชาฟิสิกส์  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

.......................................................................

 

 

 

[home] [about us] [staff members] [alumni] [news] [articles & presentations] [research papers] [Princess Sirindhorn neutron monitor] [FAQs] [glossary] [links] [contact us] [academic activities]